VPN ในโทรศัพท์คืออะไร? ทำไมคนไทยถึงเริ่มใช้กันเยอะขึ้น

เวลาเราเล่นเน็ตในโทรศัพท์ ไม่ว่าจะเลื่อน TikTok, แชทใน LINE, ซื้อของออนไลน์ หรือดู Netflix จริง ๆ แล้วข้อมูลเราไม่ได้หายไปในอากาศนะครับ/ค่ะ
มันถูกส่งผ่านผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (AIS/True/DTAC ฯลฯ), Wi‑Fi ร้านกาแฟ, เราเตอร์ที่บ้าน แล้วก็ถูกเก็บข้อมูลได้เกือบทุกจุด

ในโลกทุกวันนี้ “ข้อมูล” คือของมีค่าแบบสุด ๆ ถึงขั้นมีสื่ออย่าง Slovenske Novice เขียนเตือนว่าในยุคดิจิทัล “ข้อมูลส่วนตัวคือสกุลเงินใหม่” และหลายเว็บ/แพลตฟอร์มเอาข้อมูลผู้ใช้ไปขายต่อหรือใช้ยิงโฆษณาแบบโหด ๆ เลย (อ้างอิงบทความเรื่องการขายข้อมูลส่วนบุคคลจาก slovenskenovice.delo.si วันที่ 17 พ.ย. 2025)

เลยไม่แปลกที่คำถามอย่าง “VPN ในโทรศัพท์คืออะไร” จะถูกค้นหาเยอะขึ้น โดยเฉพาะคนที่:

  • ใช้ Wi‑Fi สาธารณะบ่อย ๆ (คาเฟ่ มหา’ลัย คอนโด)
  • รู้สึกว่ามีโฆษณาตามตัวไปทุกที่
  • อยากดูหนัง/ซีรีส์จากประเทศอื่นใน Netflix, Disney+, YouTube
  • กลัวโดนขโมยรหัสผ่านหรือข้อมูลบัตรเครดิต

บทความนี้จะเล่าแบบเพื่อนเล่าให้เพื่อนฟังว่า:

  • VPN คืออะไร และบน “โทรศัพท์” มันต่างจากบนคอมยังไง
  • มันช่วยปกป้องเราได้จริงแค่ไหน และช่วยเรื่องสตรีมมิง/เกมยังไง
  • ฟรี VPN บนมือถืออันตรายตรงไหน ควรเลี่ยงอะไร
  • วิธีเลือก VPN มือถือแบบคนไทยใช้จริง ไม่เน้นศัพท์เทคนิคเวอร์

อ่านจบ คุณจะรู้เลยว่า ควรใช้ VPN ไหม ใช้ยังไง และควรเลือกตัวไหน ให้คุ้มสุดสำหรับชีวิตประจำวันในไทยปี 2025 นี้


สรุปสั้น ๆ: VPN คืออะไรในภาษาคนธรรมดา

VPN (Virtual Private Network) คือบริการที่สร้าง “อุโมงค์ลับ” ให้ข้อมูลอินเทอร์เน็ตของเรา
ทำให้เวลาเราใช้งานเน็ต ข้อมูลจะถูกเข้ารหัส และวิ่งไปผ่านเซิร์ฟเวอร์ของ VPN ก่อนออกไปสู่โลกอินเทอร์เน็ตจริง

ให้จินตนาการง่าย ๆ:

  • ปกติ: โทรศัพท์ ➜ เครือข่ายมือถือ/เราเตอร์ ➜ อินเทอร์เน็ต
  • เมื่อใช้ VPN: โทรศัพท์ ➜ อุโมงค์เข้ารหัสไปยังเซิร์ฟเวอร์ VPN ➜ อินเทอร์เน็ต

ผลลัพธ์คือ:

  1. คนอื่นส่องเรายากขึ้น
    • เจ้าของ Wi‑Fi, แฮ็กเกอร์ที่ดักฟัง, หรือคนที่ใช้ Wi‑Fi ร้านเดียวกัน จะเห็นยากมากว่าเราทำอะไรอยู่
  2. IP จริงถูกซ่อน
    • เว็บจะเห็นแค่ IP ของเซิร์ฟเวอร์ VPN ไม่ใช่ IP ของบ้านหรือเครือข่ายมือถือของเรา
  3. เปลี่ยนประเทศโลกออนไลน์ได้
    • เลือกเซิร์ฟเวอร์ที่ญี่ปุ่น, สหรัฐ, ยุโรป ฯลฯ เพื่อเข้าดูคอนเทนต์เฉพาะโซน เช่น รายการกีฬา หรือหนังบางเรื่องที่ไทยไม่มี

ฟังดูดีใช่ไหม แต่ในความเป็นจริงมันก็มี “ข้อควรระวัง” โดยเฉพาะถ้าเป็น VPN ฟรีบนมือถือ เดี๋ยวค่อยลงลึกด้านล่าง


VPN ในโทรศัพท์ต่างจาก VPN ในคอมยังไงบ้าง

พื้นฐานการทำงานเหมือนกัน แต่บนโทรศัพท์จะมีจุดที่ต่างออกไปนิดหน่อย:

1. ใช้ง่ายกว่า แค่ลงแอปแล้วกดปุ่ม

บนมือถือส่วนใหญ่คือ:

  1. โหลดแอปจาก App Store/Play Store
  2. สมัครสมาชิก/ล็อกอิน
  3. กดปุ่ม Connect จบ

ระบบ iOS/Android จะสร้าง “โปรไฟล์ VPN” ให้เอง ไม่ต้องตั้งค่าอะไรยาว ๆ แบบในคอม

2. รันเบื้องหลังได้ตลอดเวลา

บนมือถือสามารถตั้งให้ VPN:

  • ต่ออัตโนมัติเมื่อเปิดเครื่อง
  • ต่อเฉพาะตอนใช้ Wi‑Fi สาธารณะ
  • หรือใช้ฟีเจอร์อย่าง Always-on VPN (บางรุ่น) ได้

บนคอมหลายคนจะเปิดแค่ตอนทำงานบางอย่าง แต่บนมือถือผู้ใช้ส่วนใหญ่จะเปิดยาว ๆ ทั้งวัน

3. ใช้ได้ทุกแอป ไม่ใช่แค่เบราว์เซอร์

เมื่อเปิด VPN ในโทรศัพท์:

  • LINE, Instagram, TikTok, เกม, แอปธนาคาร ฯลฯ
    ทั้งหมดจะวิ่งผ่าน VPN ด้วย (ถ้าไม่ได้ตั้ง Split tunneling แยกเอาไว้)

ตรงนี้แหละที่ต้องรู้จักตั้งค่า เพราะบางแอปไม่ชอบ IP ต่างประเทศ หรือบางทีก็ไม่จำเป็นต้องผ่าน VPN ให้เปลืองสปีด


ทำไมคนไทยเริ่มหันมาสนใจ VPN บนมือถือในปี 2025

ไม่ใช่แค่สาย IT แล้วที่พูดเรื่อง VPN ทุกวันนี้มีหลายกระแสด้วยกัน:

1. เรื่อง “ข้อมูลส่วนตัว” ที่กลายเป็นของซื้อขาย

สื่อบางแห่งอย่าง slovenskenovice.delo.si อธิบายชัดเจนว่า ข้อมูลอย่างอีเมล, ประวัติการเข้าเว็บ, พฤติกรรมการคลิก กลายเป็น “สินค้า” ที่ถูกเก็บและขายต่อกันแล้ว
นึกภาพง่าย ๆ เวลาเรา:

  • สมัครแอปอะไรสักอย่างแล้วติ๊ก “ยอมรับทั้งหมด” แบบไม่ได้อ่าน
  • เล่นเกมฟรีที่ขอสิทธิ์เข้าถึงแทบทุกอย่างในเครื่อง
  • ใช้ Wi‑Fi ฟรีจากห้าง/ร้าน แล้วกรอกข้อมูลส่วนตัวแลกการใช้งาน

ข้อมูลเหล่านี้เอาไปใช้ยิงโฆษณาได้ละเอียดจนเรารู้สึกว่า “เฮ้ย เพิ่งคุยเรื่องนี้ อยู่ดี ๆ โฆษณาก็เด้งมา”
VPN ไม่ได้กันทุกอย่าง แต่ช่วยปิดจุดหนึ่งคือ IP และทราฟฟิกบางส่วนจากคนกลาง

2. กระแสความปลอดภัยไซเบอร์ทั่วโลก

มีข่าวโจมตีทางไซเบอร์แทบทุกสัปดาห์ เช่น รายงานของ Computerworld เดนมาร์กที่พูดถึง ransomware เล่นงานองค์กรใหญ่ และเตือนเกี่ยวกับการโจมตี VPN ของ Nutanix (17 พ.ย. 2025)
องค์กรใหญ่ยังโดน แล้วมือถือเราที่ต่อ Wi‑Fi สารพัดจะรอดได้ยังไง ถ้าไม่ป้องกันตัวเองสักหน่อย

3. การถกเถียงเรื่อง VPN ในบางประเทศ

มีบทความจาก Clubic เล่าว่ามีไอเดียในสหรัฐบางส่วนที่อยากจำกัด/แบนการใช้ VPN โดยอ้างเรื่องการปกป้องเยาวชน (17 พ.ย. 2025) ถึงแม้จะถูกวิจารณ์ว่าเทคนิคัลทำได้ยากและกระทบผู้ใช้ทั่วไปจำนวนมาก
นี่สะท้อนอย่างหนึ่งว่า VPN ไม่ใช่ของเล่นเล็ก ๆ อีกต่อไป แต่เป็นเครื่องมือที่หลายฝ่ายให้ความสำคัญ ทั้งด้านความเป็นส่วนตัวและการควบคุม

4. สายสตรีม สายกีฬา สายอนิเม

การสตรีมกีฬา/ซีรีส์ต่างประเทศหลายอันเริ่มล็อกโซนหนักขึ้น (เพราะค่ายใหญ่ไล่ลบเว็บสตรีมเถื่อนเป็นร้อย ๆ เว็บไซต์) คนดูเลยหันมาใช้บริการถูกกฎหมาย + VPN เพื่อเข้าไลบรารีประเทศอื่นแทน
คนไทยเองก็อยากดู:

  • ซีรีส์ Netflix โซน US/JP
  • สตรีมกีฬาอังกฤษ/ยุโรป
  • คอนเทนต์ YouTube ที่ให้ดูเฉพาะบางประเทศ

VPN เลยกลายเป็นเครื่องมือประจำตัวสายดูหนังไปโดยปริยาย


VPN ในโทรศัพท์ช่วยอะไรเราในชีวิตจริงบ้าง

1. ป้องกันความเสี่ยงเวลาใช้ Wi‑Fi สาธารณะ

จุดเสี่ยงสุด ๆ คือ Wi‑Fi ฟรีใน:

  • คาเฟ่ / ร้านอาหาร
  • หอพัก / คอนโด
  • สนามบิน / โรงแรม

ถ้าเจ้าของระบบตั้งค่าหละหลวม หรือมีคนตั้ง Wi‑Fi ปลอม (เช่น “FreeAirportWiFi”) ขึ้นมา
แฮ็กเกอร์สามารถ:

  • ดักดูทราฟฟิกที่ไม่ได้เข้ารหัสดีพอ
  • ลองดึงข้อมูลล็อกอินบางส่วน
  • เปลี่ยนเส้นทางไปหน้าเว็บปลอม

VPN จะช่วย เข้ารหัสทั้งก้อน ทำให้คนที่นั่งดักฟังอยู่เห็นแต่ข้อมูลมั่ว ๆ เอาไปใช้ต่อไม่ได้

2. ลดการตามรอยผ่าน IP

แม้ทุกวันนี้การตามรอยจะพึ่งคุกกี้และบัญชีล็อกอินเยอะ แต่ IP address ก็ยังสำคัญ
VPN ซ่อน IP จริงของคุณ และแทนที่ด้วย IP ของเซิร์ฟเวอร์ VPN:

  • เว็บ/แอปบางส่วนยิงโฆษณาเจาะจงคุณยากขึ้น
  • ยากขึ้นในการผูกพฤติกรรมการใช้งานจากเน็ตบ้านกับเน็ตมือถือเข้าหากัน

แต่ย้ำอีกทีว่า ถ้าคุณยังล็อกอิน Google, Facebook, TikTok อยู่ตลอดเวลา เขาก็ยังตามได้อยู่ดีนะ แค่ยากขึ้นนิดหน่อย

3. เข้าเนื้อหาที่ถูกจำกัดตามประเทศ

ตัวอย่างใช้จริงที่คนไทยชอบ:

  • ดูคอนเทนต์ Netflix โซนต่างประเทศ
  • ดูสตรีมกีฬา/อีเวนต์ที่เปิดให้เฉพาะบางโซน
  • เข้าเว็บหรือบริการที่เปิดให้เฉพาะ IP ต่างประเทศ

VPN จะทำให้เว็บเข้าใจว่าคุณกำลังใช้งานจากประเทศที่คุณเลือก (ตามเซิร์ฟเวอร์ที่ต่ออยู่)

4. เล่นเกมออนไลน์ให้เสถียรกว่าเดิม (บางกรณี)

บางคนเจอปัญหา:

  • ปิงเด้ง/ดีเลย์เวลาต่อเซิร์ฟเวอร์ต่างประเทศ
  • รู้สึกเหมือนโดน throttling (โดนจำกัดสปีด) ตอนเล่นช่วงพีค

ถ้าเส้นทางจากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตไปเซิร์ฟเวอร์เกมไม่ดี การใช้ VPN ที่มีเส้นทางดี ๆ ไปภูมิภาคนั้น อาจช่วยให้ปิงนิ่งขึ้นได้
แต่ก็ต้องเลือกเซิร์ฟเวอร์ให้ตรง เช่น เล่นเซิร์ฟเวอร์ญี่ปุ่น ก็ต้องเลือกเซิร์ฟเวอร์ VPN ญี่ปุ่นที่เร็วและเสถียร

5. ปกป้องเวลาโอนเงิน/ใช้แอปการเงินบน Wi‑Fi แปลก ๆ

แอปธนาคารเข้ารหัสข้อมูลอยู่แล้วก็จริง แต่ถ้าจำเป็นต้องใช้บน Wi‑Fi แปลก ๆ การเปิด VPN ทับอีกชั้นจะช่วยลดความเสี่ยงจากการดักฟังระดับเครือข่ายได้อีกระดับหนึ่ง
ข้อควรจำ:

  • ถ้าแอปธนาคารงอแงกับ IP ต่างประเทศ ให้สลับมาใช้ 4G/5G หรือเซิร์ฟเวอร์ใกล้ไทย
  • อย่ากดลิงก์โอนเงินที่ส่งมาทางแชทมั่ว ๆ ต่อให้มี VPN ก็กัน phishing ไม่ได้

ด้านมืดของ VPN มือถือ: ฟรีไม่ใช่ว่าดี

หลายคนเริ่มต้นจากการพิมพ์คำว่า “VPN free” ใน Play Store แล้วกดโหลดตัวที่ดาวเยอะสุดมาลอง
ตรงนี้แหละที่ต้องระวังหนัก ๆ

1. ฟรี…แล้วเขาอยู่ได้ยังไง?

การทำ VPN ต้องมีค่าใช้จ่ายเยอะมาก:

  • ค่าเซิร์ฟเวอร์ทั่วโลก
  • ค่าแบนด์วิดท์ (ทราฟฟิกที่วิ่งผ่าน)
  • ค่า Dev, Support, ระบบรักษาความปลอดภัย

ถ้าเขาไม่ได้เก็บเงินจากค่าสมาชิก ก็ต้องหาเงินจากอย่างอื่น
ตามหลัก “ถ้าของฟรี แปลว่าคุณคือสินค้า”
ความเสี่ยงคือ:

  • เก็บ log การใช้งานละเอียด ๆ
  • เอาข้อมูลบางอย่างไปขายต่อให้บริษัทโฆษณา
  • ใส่โฆษณา/Tracker เพียบในตัวแอปเอง

ซึ่งประเด็นนี้สื่อหลายเจ้าเคยเตือนคล้าย ๆ กันแล้วว่าบริษัท/แพลตฟอร์มต่าง ๆ แสวงหากำไรจากข้อมูลผู้ใช้แบบจริงจัง

2. บางตัวจำกัดโหดจนใช้จริงไม่ไหว

VPN ฟรีหลายเจ้า:

  • จำกัดความเร็วแบบแรงมาก
  • จำกัดปริมาณข้อมูล (เช่น ฟรีแค่ 500MB/เดือน)
  • ให้ต่อได้แค่ไม่กี่เซิร์ฟเวอร์และมักช้า

ใช้นิดเดียวก็เต็ม ถ้าจะเอาไปดูหนังหรือสตรีมเกมยิ่งยาก

3. เสี่ยงเรื่องความปลอดภัยเอง

มีเคสในหลายประเทศที่อาชญากรไซเบอร์ใช้ VPN เพื่อซ่อนตัวเองทำเว็บละเมิดลิขสิทธิ์ หรือโจมตีระบบต่าง ๆ อย่างกรณีที่ตำรวจไซเบอร์ในอินเดียเผยว่าผู้ดูแลเครือข่ายหนังเถื่อนใช้ VPN เพื่อหลบตรวจจับอยู่นานหลายปี (อ้างอิงจาก etvbharat.com วันที่ 17 พ.ย. 2025)
ถ้าบริการ VPN เองไม่คุมความปลอดภัยดีพอ หรือมีช่องโหว่ ก็อาจกลายเป็นจุดเสี่ยงให้ทั้งผู้ใช้ดี ๆ และคนไม่ดีไปพร้อมกัน


แล้วจะรู้ได้ไงว่า VPN มือถืออันไหนน่าใช้

มาดูเกณฑ์แบบภาษาคนธรรมดา ไม่ใช่เช็กลิสต์เทคนิคอย่างเดียว

1. นโยบาย “No-logs” ชัดเจน ไม่กั๊ก

ให้ดูว่าเขา:

  • เขียนชัดไหมว่าไม่เก็บ log การใช้งานที่ระบุตัวบุคคลได้
  • เคยมีการตรวจสอบโดยบริษัทภายนอก (audit) หรือไม่
  • มีข่าวฉาวเรื่องขายข้อมูล/แชร์กับใครแปลก ๆ หรือเปล่า

ในยุคที่ผู้ให้บริการคลาวด์อย่าง pCloud ยังขายจุดขายเรื่องการเข้ารหัสและความปลอดภัยเป็นพิเศษ (TechRadar เขียนถึงดีล bundle ที่เน้น encryption เป็นจุดเด่นเมื่อ 17 พ.ย. 2025) VPN เองก็ต้องเล่นในเกม “ความน่าเชื่อถือ” เหมือนกัน

2. ความเร็วและจำนวนเซิร์ฟเวอร์

เช็กง่าย ๆ:

  • มีเซิร์ฟเวอร์ใน/ใกล้ภูมิภาคเอเชียเยอะไหม (ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฮ่องกง ฯลฯ)
  • มีเซิร์ฟเวอร์ประเทศที่เราจะใช้ดู Netflix/กีฬาไหม
  • รองรับการดูสตรีม 4K, เล่นเกมได้จริงหรือแค่โฆษณา

ลองเทสต์จริงด้วยแอปอย่าง Speedtest ก่อน–หลังเปิด VPN จะเห็นชัดเลยว่าดรอปแค่ไหน

3. แอปรองรับทั้ง iOS และ Android และใช้ง่าย

  • หน้าตาแอปดูเข้าใจง่าย ไม่รก
  • มีภาษาไทยหรืออย่างน้อยเมนูไม่งง
  • มีฟีเจอร์พื้นฐานอย่าง Auto-connect, Kill switch, Split tunneling

4. ราคาและความคุ้มค่า

ส่วนใหญ่จะถูกลงเยอะถ้าซื้อแบบ 1–2 ปีทีเดียว
ดูว่า:

  • ราคาต่อเดือนหลังหักส่วนลดแล้วอยู่ในจุดที่รับได้ไหม
  • ต่อได้พร้อมกันกี่อุปกรณ์ (มือถือ+คอม+แท็บเล็ต)
  • มี รับประกันคืนเงิน 30 วัน หรือไม่ (สำคัญมาก ไว้ลอง)

สแนปช็อต: เปรียบเทียบตัวเลือกการใช้ VPN บนมือถือแบบเข้าใจง่าย

ด้านล่างนี้เป็นตารางเปรียบเทียบ “แนวทาง” ไม่ใช่ระหว่างแบรนด์ แต่เทียบ 3 สไตล์การใช้ VPN บนสมาร์ตโฟนของคนไทย

🧑‍💻 สไตล์ผู้ใช้📱 พฤติกรรมหลัก💰 งบประมาณ📈 แนะนำแนวทาง VPN✅ เหมาะเพราะ
สายชิลทั่วไปเล่นโซเชียล, ดู YouTube, ซื้อของออนไลน์บ้างงบจำกัด อยากจ่ายน้อยสุดเลือก VPN แบบเสียเงินตัวพื้นฐาน แพ็กเกจ 1–2 ปีได้ความปลอดภัยตอนใช้ Wi‑Fi สาธารณะ โดยไม่ต้องทนโฆษณา/จำกัดดุเดือดแบบ VPN ฟรี
สายสตรีมและเกมเมอร์ดู Netflix/Disney+ หลายประเทศ, เล่นเกมเซิร์ฟนอกพร้อมจ่ายระดับกลาง–สูง ถ้าของแรงจริงVPN พรีเมียมอย่าง NordVPN ที่เน้นความเร็ว+เซิร์ฟเวอร์เยอะลดโอกาสโดนบล็อกสตรีมมิง, มีเซิร์ฟเวอร์เฉพาะกิจหลายประเทศ, เล่นเกม/สตรีมลื่นกว่า
ฟรีแลนซ์/เจ้าของธุรกิจส่งงานลูกค้า, ใช้ Cloud, แชทงาน, เข้าระบบบริษัทถือเป็นค่าใช้จ่ายธุรกิจได้VPN ระดับองค์กร/พรีเมียม ที่มีฟีเจอร์ Security เพิ่ม เช่น Kill switch, Threat protectionช่วยลดความเสี่ยงข้อมูลลูกค้ารั่ว, เชื่อมต่อจากนอกออฟฟิศอย่างปลอดภัย, ใช้บัญชีเดียวได้หลายเครื่อง

สรุปคือ ถ้าต้องใช้ VPN จริงจังเกินแค่ลองของเล่น การเลือกบริการแบบเสียเงินคุณภาพดีจะปลอดภัยและน่าเชื่อถือกว่าการพึ่ง VPN ฟรีที่ไม่รู้เก็บ/ใช้ข้อมูลเราอย่างไร


วิธีตั้งค่าและใช้ VPN ในโทรศัพท์แบบทีละขั้น

บน Android

  1. เข้า Play Store แล้วค้นชื่อบริการ เช่น “NordVPN”
  2. ดาวน์โหลดและติดตั้ง
  3. เปิดแอป ➜ สมัคร/ล็อกอิน
  4. ยอมรับคำขอสร้างการเชื่อมต่อ VPN (ระบบจะถามตอนแรก)
  5. กดปุ่ม Quick Connect หรือเลือกประเทศที่ต้องการ
  6. แนะนำให้เข้า Settings ของแอป แล้วเปิด:
    • Auto-connect เมื่อเข้า Wi‑Fi ที่ไม่รู้จัก
    • Kill switch (ถ้ามี) กันหลุด VPN แล้วต่อเน็ตตรง

บน iPhone (iOS)

  1. เข้า App Store ค้นหา “NordVPN” หรือบริการที่ใช้
  2. ดาวน์โหลด ➜ เปิดแอป ➜ ล็อกอิน/สมัคร
  3. กด “Allow” ตอน iOS ขออนุญาตเพิ่ม VPN configuration
  4. กด Connect ได้เลย หรือเลือกประเทศเอง
  5. ไปที่ Settings ในแอป เปิด:
    • Auto-connect
    • การแจ้งเตือนเมื่อ VPN หลุด

ทดสอบว่า VPN ทำงานจริงไหม

หลังต่อ VPN แล้ว ลอง:

  • เข้าเว็บ เช่น whatismyipaddress.com (หรือค้น “what is my IP” ใน Google) ดูว่า:
    • ประเทศ/เมืองที่โชว์เปลี่ยนเป็นประเทศเซิร์ฟเวอร์หรือยัง
  • ทดสอบสปีดอินเทอร์เน็ตว่าพอใจไหม

ถ้า IP ยังเป็นไทย ทั้ง ๆ ที่ต่อเซิร์ฟเวอร์ญี่ปุ่น แสดงว่ามีอะไรผิดปกติแล้ว ต้องเช็กใหม่


ข้อควรระวังเวลาใช้ VPN มือถือ

1. VPN ไม่ใช่ใบอนุญาตให้ทำทุกอย่างได้

มีเคสอย่างในอินเดียที่ผู้ต้องหาทำเว็บหนังเถื่อนข้ามปีโดยใช้ VPN ซ่อนตำแหน่ง (ข่าวจาก etvbharat.com วันที่ 17 พ.ย. 2025) สุดท้ายก็ถูกตามจับได้อยู่ดี
VPN ช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัว แต่ไม่ได้ทำให้เรา “ล่องหน” 100%

  • อย่าใช้ VPN เพื่อทำอะไรผิดกฎหมาย
  • โปรดเคารพลิขสิทธิ์และกติกาของแต่ละแพลตฟอร์ม

2. ยังเสี่ยงเรื่อง phishing / หลอกเอารหัสอยู่ดี

ถึงต่อ VPN ก็ยังโดน:

  • ลิงก์ปลอมหลอกเอา password
  • เว็บธนาคารปลอม
  • SMS/LINE หลอกโอนเงิน

ได้เหมือนเดิม เพราะนี่ไม่ใช่ปัญหาที่ระดับ “เครือข่าย” แต่เป็นเรื่อง “คน” และ “ความระวังของเรา” เอง

3. ระวัง VPN ปลอม / แอปมัลแวร์ในสโตร์

บางทีมีแอปหน้าตาเหมือน VPN แต่จริง ๆ คือมัลแวร์/Spyware ที่ทำตรงข้ามกับที่พูดไว้เลย
วิธีลดความเสี่ยง:

  • ดาวน์โหลดจากผู้ให้บริการเจ้าใหญ่ที่รู้จัก
  • อ่านรีวิวล่าสุด ไม่ใช่ดูแค่ดาวรวม
  • เลี่ยงแอปที่ขอ Permission แปลก ๆ เกินจำเป็น

MaTitie โชว์สเตจ: ทำไม MaTitie ถึงเชียร์ให้ใช้ VPN มือถือ (โดยเฉพาะ NordVPN)

ในฐานะคอนเทนต์ครูไซเบอร์ของ MaTitie เราเห็นทุกวันว่าคนไทยส่วนใหญ่เสี่ยงแบบไม่รู้ตัว:

  • ต่อ Wi‑Fi ฟรีแล้วเข้าแอปธนาคารชิล ๆ
  • ฝากรูป/ไฟล์สำคัญไว้ใน Cloud โดยไม่คิดเรื่องการเข้ารหัส
  • ล็อกอินโซเชียลทุกอย่างบนมือถือเครื่องเดียวที่ไม่เคยตั้งรหัสจอ

VPN เลยกลายเป็น “เข็มขัดนิรภัย” ขั้นพื้นฐานที่ MaTitie แนะนำให้มีติดเครื่องไว้ โดยเฉพาะสายมือถือ

ในบรรดา VPN ทั้งหมด ทีม Top3VPN ทดสอบแล้วว่าตัวที่บาลานซ์ ความเร็ว + ความปลอดภัย + ใช้ง่าย ได้ดีมากตัวหนึ่งคือ NordVPN

บนมือถือ NordVPN เด่นตรงที่:

  • แอปใช้งานง่าย กดทีเดียวต่อได้เลย
  • เซิร์ฟเวอร์เยอะมากทั่วโลก เหมาะกับสายสตรีม/เกม
  • มีฟีเจอร์เสริมความปลอดภัย เช่น Threat Protection (ช่วยบล็อกมัลแวร์/เว็บอันตรายบางส่วน), Kill switch ฯลฯ
  • มี รับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน ลองใช้ก่อน ถ้าไม่ถูกใจก็กดขอย้อนเงินได้

ถ้าอยากลองเริ่มใช้ VPN มือถือแบบจริงจังสักตัว NordVPN คือจุดเริ่มที่ใช้ง่ายและโอกาสผิดหวังน้อยสำหรับผู้ใช้ในไทย ณ ปี 2025 นี้

🔐 Try NordVPN – 30-day risk-free

หมายเหตุ: ลิงก์นี้เป็นลิงก์แนะนำ ถ้าคุณสมัครผ่านลิงก์ MaTitie จะได้ค่าคอมมิชชันเล็กน้อย แต่คุณไม่ต้องจ่ายเพิ่ม และช่วยสนับสนุนการทำคอนเทนต์ความปลอดภัยฟรี ๆ ให้คนไทยต่อไป


คำถามยอดฮิตเรื่อง VPN มือถือ (ฉบับตอบแบบเพื่อนแชทหาเพื่อน)

Q1: ใช้ VPN ตลอดเวลา แบตจะหมดไวกว่าเดิมไหม?

โดยทั่วไปจะเปลืองขึ้นนิดหน่อย เพราะ:

  • โทรศัพท์ต้องเข้ารหัส/ถอดรหัสข้อมูลตลอดเวลา
  • มีการเชื่อมต่อพื้นหลังเพิ่มอีกชั้น

แต่ถ้าเครื่องไม่เก่ามาก ส่วนใหญ่ต่างกันไม่ถึงขั้นรู้สึกได้ชัดเจน
ทิปเล็ก ๆ:

  • ตั้งให้ VPN auto-connect เฉพาะตอนใช้ Wi‑Fi สาธารณะ
  • เวลาดู Netflix/โหลดไฟล์หนัก ๆ ใช้ชาร์จไปด้วยจะสบายใจขึ้น

Q2: ทำไมบางเว็บ/บางแอปเข้าไม่ได้ตอนเปิด VPN

เพราะบางบริการ “ไม่ชอบ” ทราฟฟิกจาก VPN เช่น:

  • เว็บธนาคารบางแห่ง
  • ระบบยืนยันตัวตนบางแบบ
  • แพลตฟอร์มที่ล็อกโซนหนัก ๆ

เขาอาจมองว่าทราฟฟิกจาก VPN เสี่ยง หรือมีคนเคยใช้ IP นั้นทำอะไรไม่ดีมาก่อน
วิธีแก้คือ:

  • ลองเปลี่ยนเซิร์ฟเวอร์เป็นประเทศอื่น
  • ถ้าไม่ได้จริง ๆ ให้ปิด VPN ชั่วคราวตอนใช้แอปนั้น (ใช้ฟีเจอร์ Split tunneling ก็ช่วยได้)

Q3: ปี 2025 นี้ ยังปลอดภัยไหมถ้าเก็บไฟล์สำคัญไว้ใน Cloud แล้วใช้ VPN ร่วมกัน

ทิศทางโลกตอนนี้คือ:

  • คนเริ่มหันมาใช้บริการ Cloud ที่เน้นเข้ารหัสและความปลอดภัยมากขึ้น (อย่างที่ TechRadar พูดถึงดีล bundle ที่รวมทั้ง storage + encryption + password manager เมื่อ 17 พ.ย. 2025)
  • ในขณะเดียวกัน การแฮ็ก/โจมตี service ใหญ่ ๆ ก็ยังเกิดเรื่อย ๆ

การใช้ Cloud + VPN ถือว่า “ดีกว่าไม่ทำอะไรเลยเยอะมาก” เพราะ:

  • VPN ปิดฝั่งเครือข่าย (ระหว่างมือถือกับ Cloud)
  • บริการ Cloud ที่ดีจะปิดฝั่งการเก็บข้อมูล (เข้ารหัส, zero-knowledge ฯลฯ)

แต่ก็ยังควร:

  • เปิด 2FA ทุกบัญชีสำคัญ
  • ไม่อัปโหลดข้อมูลลับสุดยอดแบบ raw (เช่น ไฟล์เต็ม ๆ ของบัตรประชาชนหลายใบโดยไม่เข้ารหัสเพิ่ม)
  • ตั้งรหัสผ่านที่เดายาก ไม่ใช้ซ้ำ

แหล่งอ่านต่อ ถ้าอยากอินเรื่องความปลอดภัยไซเบอร์มากขึ้น

  1. Morgen-briefing: Cyberangreb koster Jaguar Land Rover… / CISA advarer: Russisk ransomware-gruppe angriber Nutanix-VPN – Computerworld.dk, 17 พ.ย. 2025
    พูดถึงเคส ransomware เล่นงานองค์กรใหญ่และการโจมตี VPN ของ Nutanix
    อ่านบทความ

  2. Hyderabad Movie Piracy Networks Run By A Single Operator: Cyber Crime Police – ETV Bharat, 17 พ.ย. 2025
    ตัวอย่างการใช้ VPN แบบผิด ๆ เพื่อทำเครือข่ายหนังเถื่อน ก่อนถูกตำรวจไซเบอร์ตามจับ
    อ่านบทความ

  3. Fraudes en el Buen Fin 2025: Lo que debes saber antes de comprar en Línea – La Razón, 17 พ.ย. 2025
    รวมเทคนิคหลีกเลี่ยงการถูกหลอกเมื่อซื้อของออนไลน์ ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับการรักษาความปลอดภัยดิจิทัลของเราโดยตรง
    อ่านบทความ


สรุป–CTA: ถ้าจะเริ่มใช้ VPN มือถือวันนี้ ควรเริ่มยังไงดี

ถ้าคุณอ่านมาถึงตรงนี้ แปลว่าคุณเริ่มจริงจังกับเรื่องความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยบนมือถือแล้ว
ภาพรวมง่าย ๆ คือ:

  • VPN ในโทรศัพท์ = อุโมงค์เข้ารหัส + การซ่อน IP + ความสามารถเปลี่ยนประเทศออนไลน์
  • ช่วยมากกับ:
    • การใช้ Wi‑Fi สาธารณะ
    • การดูสตรีมข้ามประเทศ
    • การลดการตามรอยบางส่วน
  • แต่ไม่ได้กันทุกอย่าง ยังต้องระวัง phishing, ลิงก์หลอก, การตั้งค่าความเป็นส่วนตัวในโซเชียลด้วยตัวเอง

ถ้าให้แนะนำแบบตรง ๆ:

  1. เลิกใช้ VPN ฟรีที่ไม่รู้ที่มาที่ไป
  2. เลือก VPN เสียเงินที่น่าเชื่อถือ มีรีวิวดี มีนโยบาย no‑logs ที่ชัด
  3. สำหรับผู้ใช้มือถือในไทยที่เน้นทั้งความเร็วและความปลอดภัย NordVPN เป็นตัวเลือกที่น่าเริ่มมาก เพราะ:
    • แอปมือถือใช้ง่าย
    • เซิร์ฟเวอร์เยอะ ดูหนัง/เล่นเกมสบาย
    • มีรับประกันคืนเงิน 30 วัน ลองก่อน ถ้าไม่โอเคก็ไม่ต้องใช้ต่อ

ลองติดตั้งบนมือถือเครื่องหลักของคุณ แล้วลองใช้สัก 1–2 สัปดาห์ คุณจะเริ่มรู้สึกได้เองว่า
เวลาเปิด Wi‑Fi แปลก ๆ หรือเช็กสลิปโอนเงินในร้านกาแฟ เรารู้สึก “มั่นใจขึ้น” แค่ไหนเมื่อมี VPN เปิดอยู่

30 วัน

ไฮไลท์คืออะไร? ลองใช้ NordVPN ได้แบบไม่มีความเสี่ยง!

เรามีการรับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน — ถ้าไม่พอใจ ยกเลิกได้และขอเงินคืนเต็มจำนวนภายใน 30 วันโดยไม่ต้องตอบคำถาม
รองรับวิธีชำระเงินทุกประเภท รวมถึงคริปโตเคอเรนซี่ด้วย

สมัคร NordVPN

ข้อสงวนสิทธิ์ (Disclaimer)

บทความนี้เขียนจากการสังเคราะห์ข้อมูลสาธารณะ ข่าวจริง และประสบการณ์การใช้งานร่วมกับการช่วยวิเคราะห์ของระบบ AI มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลทั่วไป ไม่ใช่คำแนะนำด้านกฎหมายหรือการเงินแบบเฉพาะตัว ก่อนตัดสินใจใช้งานบริการใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยและข้อมูลส่วนบุคคล แนะนำให้ตรวจสอบรายละเอียดจากผู้ให้บริการและเงื่อนไขล่าสุดอีกครั้งด้วยตนเองเสมอ