💡 ทำไมต้องรู้วิธีปิด VPN บน Android
หลายคนเปิด VPN ไว้เพราะอยากป้องกันตัวเองบน Wi‑Fi สาธารณะหรือปลดบล็อกสตรีมมิ่ง แต่บางสถานการณ์เราต้องปิดมัน—เช่น เมื่อเครือข่ายงานบล็อกการเชื่อมต่อ หรืออยากเชื่อมต่อเครือข่ายท้องถิ่นที่ตรวจสอบที่อยู่ IP ตรงๆ หรือแค่ต้องการประหยัดแบตเตอรี่และความเร็ว
บทความนี้จะพาไลน์ต่อไลน์: ตั้งแต่การปิดจากแอป VPN, ปิดจากการตั้งค่า Android, จนถึงการยกเลิกโปรไฟล์ VPN ที่ฝังอยู่ในเครื่อง พร้อมวิธีเช็คว่า “ปิดจริง” และทางแก้เมื่อปิดไม่ได้ ช่วยให้คุณทำเองได้สบายๆ ในไม่กี่นาที
📊 ตารางเปรียบเทียบวิธีปิด VPN (ตามสถานการณ์) 🔍
🔧 วิธี | ⚙️ ขั้นตอนโดยย่อ | ⏱️ เวลาที่ใช้ | ✅ ผล/ข้อดี |
---|---|---|---|
ปิดในแอป VPN | เปิดแอป → แตะปุ่ม Disconnect/Off | 1–2 นาที | เร็วสุด, คืนความเร็วเน็ต |
ปิดผ่าน Settings | Settings → Network & internet → VPN → แตะชื่อ → Disconnect | 2–3 นาที | สำหรับโปรไฟล์ที่ไม่อยู่ในแอป |
Force stop / ถอนติดตั้ง | Settings → Apps → เลือกแอป → Force stop หรือ Uninstall | 3–5 นาที | แก้ปัญหาแอปติดล็อกไม่ยอมปิด |
ลบโปรไฟล์ VPN | Settings → Network & internet → VPN → แตะรูปฟันเฟือง → Forget/Delete | 2–4 นาที | ถาวร ปลอดภัยหากเลิกใช้บริการ |
ตารางนี้แสดงทางลัดสำหรับสถานการณ์จริง: ถ้าอยากหยุดชั่วคราว ให้ปิดจากแอป ถ้าเจอปัญหาแอปไม่ยอมปิด ให้ Force stop หรือถอนติดตั้ง และถ้าเลิกใช้จริงๆ ให้ลบโปรไฟล์ VPN ออกจากการตั้งค่า
😎 MaTitie SHOW TIME
ผม MaTitie — เขียนเรื่อง VPN เยอะพอจะรู้ว่ามีปัญหาอะไรบ่อยๆ กับคนไทย: สตรีมช้า เครือข่ายงานบล็อก หรือ VPN ค้างไม่ยอมเชื่อมต่อคืน
ถ้าคุณต้องการ VPN ที่เร็วและเชื่อถือได้สำหรับดูสตรีมมิงหรืองานรีโมท ผมแนะนำ NordVPN — ใช้งานง่ายบน Android, มีเซิร์ฟเวอร์เยอะ และคืนเงิน 30 วัน
👉 🔐 ลอง NordVPN ตอนนี้ — มีทดลองคืนเงิน 30 วัน
โพสต์นี้มีลิงก์พันธมิตร — ถ้าคุณสมัคร ผมอาจได้ค่าคอมเล็กน้อย (ขอบคุณมากนะครับ)
💡 วิธีปิด VPN ทีละกรณี (มือใหม่ก็ทำได้)
- ปิดจากแอป VPN: เปิดแอป → แตะปุ่ม Disconnect/Off → ถ้าไม่เห็น ปัดลงดู Quick Settings มักมีปุ่มของแอปนั้น
- ปิดจาก Quick Settings: ปัดแถบแจ้งเตือนลง → แตะไอคอน VPN ถ้ามี → เลือก Disconnect
- ปิดจากการตั้งค่า Android: Settings → Network & internet → VPN → แตะชื่อ VPN → Disconnect หรือ Forget
- ถ้าเป็นโปรไฟล์ที่ติดตั้งแบบ Manual (เช่น L2TP/IPsec): เข้า Settings → Network & internet → VPN → ลบโปรไฟล์นั้น
- ถ้าแอปไม่ยอมปิด: Settings → Apps → เลือกแอป VPN → Force stop → ถ้ายังมีปัญหาให้ Uninstall แล้วรีบูทเครื่อง
นอกจากนี้ ให้เช็คว่ามีแอป “Always-on VPN” ถูกเปิดอยู่หรือไม่: Settings → Network & internet → VPN → แตะเมนู (ฟันเฟือง) ของโปรไฟล์ → ดูว่า Always-on ถูกเปิดหรือไม่ ถ้าเปิดให้ปิดก่อน
🔎 วิธีตรวจสอบว่าปิดจริงหรือยัง
- มองหาไอคอนรูปกุญแจ/รูป VPN บนแถบสถานะด้านบน — ถ้าหายแปลว่า VPN ถูกตัดแล้ว
- เข้าเว็บเช็ค IP (เช่น whatismyip) เพื่อดูว่าที่อยู่ IP เปลี่ยนกลับเป็นของ ISP ท้องถิ่นหรือยัง
- Settings → Network & internet → VPN ควรแสดงสถานะ “Disconnected” หรือไม่มีรายการเซสชันที่กำลังทำงาน
สามารถใช้วิธีนี้เพื่อยืนยันว่าการปิดไม่ใช่แค่ตัดการเชื่อมต่อแอป แต่ปิดการขนส่งข้อมูลผ่าน tunnel จริงๆ
🔧 ปัญหายอดฮิต & วิธีแก้
- แอปยังเชื่อมต่อแม้ปิด: Force stop หรือถอนการติดตั้ง แล้วรีบูทเครื่อง
- VPN หายจาก Settings แต่เน็ตยังช้า: บางครั้ง DNS ยังชี้ไปที่ DNS ของ VPN — เปลี่ยน DNS ในการตั้งค่า Wi‑Fi เป็นอัตโนมัติหรือใช้ DNS สาธารณะ เช่น 1.1.1.1
- ถูกบังคับให้ใช้ VPN โดยแอปบริษัท/มหาวิทยาลัย: ติดต่อฝ่ายไอที — อย่าลบโปรไฟล์ถ้าต้องใช้งานกับงาน/สถาบัน
- หากกังวลเรื่องความปลอดภัยหลังถอนการติดตั้ง: ล้างแคชของเบราว์เซอร์ เคลียร์ข้อมูลแอปที่เกี่ยวข้อง แล้วเปลี่ยนรหัสผ่านสำคัญ
ข้อมูลด้านความปลอดภัยล่าสุดเตือนให้ระวังช่องโหว่ที่เกี่ยวกับโซลูชัน VPN หรือ firewall ระดับองค์กร — อ่านประกาศแจ้งเตือนจากผู้ผลิตเมื่อมีการอัปเดตแพตช์ [netzwoche, 2025-09-26]
🙋 คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
❓ VPN ปิดแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าปิดจริงหรือไม่?
💬 เช็คไอคอนแถบสถานะ, ดูใน Settings → Network & internet → VPN ว่าเป็น Disconnected, หรือทดสอบ IP ผ่านเว็บเช็ค IP
🛠️ ถ้าแอปไม่ยอมหยุด เช็คอะไรก่อน?
💬 Force stop จาก Settings → Apps, ถอนการติดตั้ง แล้วรีบูทเครื่อง หากเป็น Always‑on ให้ปิดฟีเจอร์นั้นก่อน
🧠 ปิด VPN มีความเสี่ยงเรื่องความเป็นส่วนตัวไหม?
💬 ขึ้นกับเครือข่าย — หลีกเลี่ยง Wi‑Fi สาธารณะเมื่อปิด VPN และตรวจสอบการตั้งค่า DNS/แอปที่เก็บข้อมูล เพื่อความปลอดภัยควรเปิด VPN เมื่อต้องใช้งานบนเครือข่ายที่ไม่ไว้ใจได้
🧩 ข้อมูลเสริม: เมื่อใช้ VPN เพื่อสตรีมมิ่ง
VPN บางตัวออกแบบมาสำหรับสตรีมมิ่ง—ช่วยปลดบล็อกคอนเทนต์ เช่น ไลบรารี Netflix แต่คุณอาจต้องสลับเซิร์ฟเวอร์เมื่อบริการตรวจจับ VPN [tomshw, 2025-09-26] หากปิด VPN ก่อนดูสตรีม คุณอาจเสียสิทธิ์การเข้าถึงคอนเทนต์ที่ล็อกตามประเทศ ดังนั้นเลือกปิดหรือเปิดตามความต้องการจริงๆ
นอกจากนี้ สำหรับคนดูอีเวนต์สดจากต่างประเทศ (เช่น Ryder Cup) VPN ที่เสถียรและมีสปีดดีจะช่วยลดการบัฟเฟอร์ แต่ถ้าต้องเชื่อมต่อกับบริการภายในประเทศการปิด VPN ชั่วคราวอาจจำเป็น [tomsguide, 2025-09-26]
🧠 สรุปสั้นๆ
- ปิดง่ายสุดคือผ่านแอป VPN หรือ Quick Settings
- ใช้ Settings → Network & internet → VPN เพื่อลบโปรไฟล์ถาวร
- ถ้าแอปไม่ยอมปิด ให้ Force stop หรือ Uninstall แล้วรีบูท
- ตรวจสอบสถานะด้วยไอคอนแถบสถานะและเว็บเช็ค IP เพื่อความแน่นอน
📚 อ่านต่อ (แหล่งข่าวเพิ่มเติมจาก Pool)
🔸 “Cisco ASA zero day exploit puts global networks at risk as Duo users targeted”
🗞️ Source: pcquest – 2025-09-26
🔗 Read Article
🔸 “Angreifer attackieren ASA/FTD-Firewalls von Cisco”
🗞️ Source: heise – 2025-09-26
🔗 Read Article
🔸 “Sat.1 im Ausland sehen – so geht’s”
🗞️ Source: chip – 2025-09-26
🔗 Read Article
😅 ข้อเสนอสุดท้ายจากผม (A Quick Shameless Plug)
ถ้าคุณอยากไม่ต้องกังวลเรื่องปิด/เปิดบ่อยๆ ผมยังแนะนำ NordVPN เป็นตัวเลือกที่ใช้ง่ายบน Android — มีฟีเจอร์ Kill Switch, เซิร์ฟเวอร์เยอะ, และคืนเงิน 30 วัน
👉 ลอง NordVPN
📌 ข้อจำกัดความรับผิดชอบ
ข้อมูลในบทความนี้จัดทำเพื่อให้คำแนะนำทั่วไป ไม่ใช่คำแนะนำทางกฎหมายหรือการรักษาความปลอดภัยแบบเฉพาะเจาะจง ปฏิบัติตามนโยบายองค์กรของคุณเมื่อต้องเชื่อมต่อเครือข่ายงานหรือสถาบัน หากพบปัญหาด้านความปลอดภัยรุนแรง ให้ติดต่อผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ให้บริการทันที