ทำไมคนถึงอยาก “ปิด VPN Android” กันนัก?

หลายคนโหลด VPN มาใช้ใน Android เพราะอยากดู Netflix ต่างประเทศ, ดูบอลแมตช์ใหญ่แบบ Chelsea vs Barcelona ที่ต้องสตรีมจากเว็บนอก หรือแค่ต้องการซ่อน IP ไม่ให้โดนตามรอยเวลาเล่นเน็ตก็เถอะ

แต่พอใช้ไปสักพักก็เจอปัญหาเดิม ๆ:

  • เน็ตช้า โหลดรูปไม่ขึ้น
  • แอปธนาคาร/เกม/สตรีมมิ่ง บางตัวเข้าไม่ได้หรือเด้ง
  • ลืมว่าตัวเองเปิด VPN อยู่ ทำให้โลเกชันเพี้ยน

ก็เลยมานั่งเสิร์ช “ปิด vpn android” ว่าต้องปิดยังไงให้เนียน ปลอดภัย และไม่กระทบการใช้งานปกติ

บทความนี้จะช่วยให้คุณ:

  • รู้วิธีปิด VPN บน Android แบบต่าง ๆ (ทั้งแอป, ตั้งค่าระบบ, โปรไฟล์ที่ออฟฟิศให้มา)
  • เช็กได้เองว่า “ปิดสนิท” หรือยังมีอะไรวิ่งผ่าน VPN อยู่
  • เข้าใจว่า “เมื่อไหร่ควรปิด” และ “เมื่อไหร่ห้ามปิดเด็ดขาด”
  • เลือก VPN ที่เปิด–ปิดง่ายและปลอดภัยขึ้นในปี 2025

เข้าใจก่อน: VPN บน Android มีอยู่กี่แบบกันแน่?

เวลาเราพูดคำว่า “VPN” บนมือถือ Android จริง ๆ มันอาจหมายถึงหลายอย่าง:

  1. แอป VPN ปกติจาก Play Store
    เช่น NordVPN, Proton VPN, หรือบริการอื่น ๆ ที่มีปุ่ม Connect/Disconnect ชัดเจนในแอป

  2. VPN ที่ตั้งค่าเองใน Settings

    • บางคนใส่เซิร์ฟเวอร์ VPN ของออฟฟิศ / มหาลัย เอง
    • หรือ VPN ที่แอปองค์กรติดตั้งให้ผ่านโปรไฟล์งาน (Work Profile)
  3. VPN แบบฝังมากับแอปอื่น
    เช่น บางแอป Ad blocker หรือ Security ใช้การตั้งค่าแบบ VPN ภายในเครื่องเพื่อกรองทราฟฟิก ตามแนวคิดเดียวกับ AdGuard DNS ที่สื่อฝรั่งเศสบอกว่าช่วยป้องกันและเร่งการเชื่อมต่อบน iOS/Android ได้แบบง่าย ๆ เลย (clubic, 2025-11-25)

เวลาจะ “ปิด VPN” เลยต้องดูก่อนว่าเราใช้แบบไหนอยู่ จะได้กดปิดให้ถูกจุด

วิธีปิด VPN บน Android แบบพื้นฐาน (ใช้ได้กับเครื่องส่วนใหญ่)

1) ปิดจากไอคอนกุญแจ / VPN ในแถบแจ้งเตือน

อันนี้ง่ายสุด เหมาะกับคนใช้แอป VPN ชื่อดังทั้งหลาย

  1. ปัดแถบด้านบนลงมา (Notification / Quick Settings)
  2. มองหา:
    • ไอคอน กุญแจ บนแถบสถานะด้านบนขวา
    • หรือแถบแจ้งเตือนของแอป VPN ที่เขียนว่า “Connected”
  3. แตะที่แถบของแอป VPN
  4. กดปุ่ม Disconnect หรือ Stop ในแอป

จบ แค่นี้เลย หลังจากนั้นไอคอนกุญแจด้านบนต้องหายไป

2) ปิดผ่านเมนูการตั้งค่า Android

ถ้าแอปค้าง ไม่ยอม Disconnect หรือหาแถบแจ้งเตือนไม่เจอ ใช้วิธีดิบจาก Settings ได้:

  1. เข้า การตั้งค่า (Settings)
  2. ไปที่ เครือข่ายและอินเทอร์เน็ต (Network & Internet) หรือ การเชื่อมต่อ (Connections) (ชื่อเมนูแตกต่างตามยี่ห้อ)
  3. เลือกเมนู VPN
  4. แตะชื่อ VPN ที่กำลังใช้งานอยู่
  5. กด ยกเลิกการเชื่อมต่อ (Disconnect) หรือ ลบโปรไฟล์ (Delete) ถ้าไม่ใช้อีกแล้ว

วิธีนี้ใช้ได้กับ:

  • VPN ที่ตั้งค่าเองในระบบ (เช่นของออฟฟิศ)
  • แอป VPN บางตัวที่สร้างโปรไฟล์ไว้ใน Settings

3) ปิด VPN เฉพาะแอป (ถ้าแอปรองรับ Split Tunneling)

VPN บางเจ้าฉลาด ให้เราตั้งได้เลยว่า “แอปไหนไม่ต้องวิ่งผ่าน VPN” เช่น แอปธนาคารไทยบางตัวที่งอแงเวลาเห็น IP ต่างประเทศ

ขั้นตอนคร่าว ๆ (ตัวอย่างแนวทาง):

  1. เปิดแอป VPN (เช่น NordVPN, Proton VPN)
  2. เข้าเมนู Settings หรือ Features
  3. มองหาคำว่า Split Tunneling / Per‑App VPN / “Exclude Apps”
  4. เลือกแอปที่ไม่อยากให้ผ่าน VPN เช่น:
    • แอปธนาคาร
    • แอปจองตั๋ว / Delivery ที่เช็กโลเกชันไทย
  5. บันทึก แล้วเชื่อมต่อ VPN ตามปกติ

เทคนิคนี้คือ “ปิด VPN เฉพาะบางแอป” ไม่ต้องปิดทั้งระบบ เหมาะกับคนที่ต้อง:

  • เล่นเกม/ดูสตรีมต่างประเทศ
  • แต่ก็ยังต้องใช้แอปธนาคารไทยควบคู่ไปด้วย

วิธีปิด VPN เฉพาะรุ่น/ยี่ห้อที่คนไทยใช้เยอะ

มือถือ Samsung, Xiaomi, OPPO, vivo, realme

ส่วนใหญ่เมนูจะคล้ายกัน ต่างกันแค่ชื่อเล็กน้อย:

  1. เข้า การตั้งค่า
  2. แตะ การเชื่อมต่อ / Wi‑Fi & Network / SIM & Network
  3. หาเมนู VPN
  4. แตะที่ชื่อ VPN → เลือก Disconnect
    ถ้าเป็นโปรไฟล์ที่องค์กรลงไว้ อาจจะลบไม่ได้ ต้องให้แอดมินจัดการให้

ทิปเล็ก ๆ:
ถ้าหาเมนูไม่เจอ ให้ใช้ช่องค้นหาใน Settings แล้วพิมพ์คำว่า “VPN” ตรง ๆ เลย ง่ายสุด

ปิด VPN แล้วเน็ตยังแปลก ๆ? เช็กยังไงว่าปิดจริง

บางทีเรากด Disconnect ไปแล้ว แต่ใจยังระแวงว่า “มันปิดจริงหรือยังวะ” ลองเช็กแบบนี้ได้:

  1. ดูไอคอนกุญแจด้านบน

    • ถ้ายังเห็นรูปกุญแจ แปลว่ายังมี VPN ตัวใดตัวหนึ่งทำงานอยู่
    • ถ้าหายไป แปลว่า VPN system‑wide น่าจะปิดแล้ว
  2. เช็ก IP ว่ากลับมาเป็นไทยหรือยัง

    • เปิด Chrome เข้าเว็บเช็ก IP เช่น whatismyipaddress.com หรือเว็บเช็ก IP อื่นที่คุณใช้ประจำ
    • ถ้าขึ้นว่า Country: Thailand → แสดงว่าทราฟฟิกส่วนใหญ่ไม่ผ่าน VPN แล้ว
  3. ลองเข้าแอปที่เคยมีปัญหา

    • แอปธนาคาร / แอปสตรีมมิ่งที่เคยเด้ง
    • ถ้ากลับมาใช้งานได้ตามปกติ แปลว่าระบบไม่ได้หลอกอะไรคุณแล้ว

เมื่อไหร่ “ควรปิด” และเมื่อไหร่ “ห้ามปิด” VPN บน Android

สถานการณ์ที่ “ควรปิด VPN”

  • เวลาใช้งานแอปธนาคาร/การเงินในไทย
    บางแอปไม่ชอบ IP จากต่างประเทศ อาจขึ้นเตือน/บล็อก เพื่อความง่ายและลดโอกาสโดนล็อกบัญชี ช่วงทำธุรกรรมสำคัญปิด VPN ไปก่อนจะดีกว่า

  • เวลาเล่นเกมที่เซิร์ฟเวอร์โซนไทยอยู่แล้ว
    ถ้าเกมตั้งเซิร์ฟเวอร์ SEA/TH ให้เรียบร้อย การไปต่อ VPN ต่างประเทศอาจทำให้ ping สูงขึ้นโดยไม่จำเป็น

  • ตอนเทสเน็ต/แจ้งปัญหาเน็ตกับผู้ให้บริการในไทย
    ถ้าเราเปิด VPN อยู่ ช่างจะวิเคราะห์ปัญหายาก เพราะทราฟฟิกวิ่งออกไปอีกเจ้า

  • เวลาเข้าเว็บ/แอปที่ล็อกประเทศเข้มงวด
    บางเว็บบริการในไทยจะไม่ให้ใช้ IP นอกประเทศ (เช่น บางระบบจองคิวราชการ, บริการสมัครงานบางแห่ง) ก็ปิด VPN ชั่วคราวไปก่อน

สถานการณ์ที่ “ห้ามปิด VPN” (หรือควรคิดดี ๆ ก่อนปิด)

  • ตอนต่อ Wi‑Fi สาธารณะ เช่น คาเฟ่, ห้าง, สนามบิน
    ปี 2025 การใช้เน็ตบนมือถือแบบไม่เข้ารหัสคือเสี่ยงจริง ไม่ใช่แค่ทฤษฎี
    ทั้งแฮ็กเกอร์, ตัวติดตามในแอป, โฆษณาเกินเบอร์ ทุกอย่างมาพร้อมกัน
    สื่อเทคโนโลยีและผู้ให้บริการหลายเจ้าก็พัฒนาระบบกรองมัลแวร์/Phishing เพิ่มขึ้น เช่น Proton VPN ที่เพิ่งอัปเกรด NetShield ให้บล็อกเว็บ Phishing ได้ดีขึ้น แล้วจัดโปรแรงช่วง Black Friday (lesnumeriques, 2025-11-25) แปลว่าภัยมันเยอะพอที่ต้องมีฟีเจอร์แบบนี้

  • ตอนส่งไฟล์งาน/เอกสารสำคัญ
    โดยเฉพาะคนทำงานรีโมต ฟรีแลนซ์ หรือส่งไฟล์ลูกค้า ถ้าไม่อยากให้ทรูาฟฟิกถูกดักกลางทาง ควรเปิด VPN ไว้ตลอด

  • ตอนท่องเว็บที่มีข้อมูลส่วนตัวเยอะ
    เช่น อีเมลหลัก, บัญชีโซเชียล, บริการที่ผูกบัตรเครดิต

แนวคิดง่าย ๆ คือ:

ต่อ Wi‑Fi สาธารณะ → เปิด VPN เป็นค่าเริ่มต้นไว้ก่อน แล้วค่อยปิดเฉพาะตอนที่จำเป็นจริง ๆ

ตารางสรุปวิธีปิด VPN Android แบบต่าง ๆ

📱 วิธี⚙️ ขั้นตอนเร็ว ๆ✅ ข้อดี⚠️ ข้อควรระวัง
ปิดผ่านแถบแจ้งเตือนปัดลง → แตะแจ้งเตือน VPN → Disconnectเร็ว ง่าย ใช้ได้กับแทบทุกแอป VPNบางครั้งแอปค้าง ต้องเข้า Settings ช่วย
ปิดผ่าน Settings > VPNSettings → Network/Connections → VPN → Disconnectแน่นอน ใช้ได้ทั้งแอปและโปรไฟล์ระบบถ้ากดลบโปรไฟล์ ต้องตั้งค่าใหม่เอง
ลบโปรไฟล์ VPNSettings → VPN → เลือกโปรไฟล์ → Deleteตัดขาดถาวร ไม่กลับมาเองอย่าลบของออฟฟิศ/มหาลัย ถ้าไม่แน่ใจ
ปิดเฉพาะแอป (Split Tunneling)เปิดแอป VPN → Settings → Split Tunneling → เลือกแอปVPN ยังปกป้องอย่างอื่นได้ เกม/แอปธนาคารใช้เน็ตตรงมีเฉพาะบางบริการ VPN เท่านั้น
ถอนการติดตั้งแอป VPNกดค้างที่ไอคอน → Uninstallเคลียร์จบ ไม่เหลือรันเบื้องหลังเสียการป้องกันทั้งหมด ต้องลงใหม่ถ้าจะใช้ต่อ

สรุปง่าย ๆ คือ ถ้าแค่จะปิดชั่วคราว ใช้การ Disconnect พอ แต่ถ้าไม่คิดจะใช้แล้วจริง ๆ ค่อยลบโปรไฟล์หรือถอนแอปทิ้งไปเลย ไม่งั้นบางทีแอปอาจยังมี service วิ่งเบา ๆ อยู่เบื้องหลังได้

ปัญหายอดฮิตหลังปิด VPN และวิธีแก้

1) ปิด VPN แล้วเน็ตยังช้า / โหลดไม่ขึ้น

เช็กตามนี้:

  • รีสตาร์ทเครื่องหนึ่งรอบ
  • ลองลืม (Forget) Wi‑Fi แล้วต่อใหม่
  • ทดสอบสปีดเน็ต โดยไม่เปิด VPN เลย
    • ถ้าช้าอยู่ดี แปลว่าปัญหาไม่ได้มาจาก VPN แต่อาจเป็นที่ผู้ให้บริการ หรือคนใช้ Wi‑Fi เส้นเดียวกันเยอะเกิน

2) ปิด VPN แล้วเข้า Netflix/สตรีมต่างประเทศไม่ได้

กรณีนี้คือกลับกันเลย:

  • ตอนเปิด VPN → ดู Stranger Things ภาคใหม่บน Netflix US ได้
  • พอปิด VPN → เนื้อหากลับมาเป็นไลบรารีไทยตามปกติ (ตรงตามนโยบายของผู้ให้บริการสตรีมมิ่ง ที่ลิขสิทธิ์แยกเป็นประเทศ ๆ ตามที่หลายเว็บแนะนำการดูคอนเทนต์ต่างประเทศผ่าน VPN ไว้ เช่นคู่มือการดู Stranger Things 5 จากต่างประเทศของ tomsguide, 2025-11-25)

วิธีแก้ก็ตรงไปตรงมา:

  • ถ้าอยากดูคลังต่างประเทศ → ต้องเปิด VPN ต่อประเทศนั้น
  • ถ้าจะกลับมาโหมดใช้งานไทย → ก็ปิด VPN ตามที่อธิบายข้างต้น

3) ลบไม่หมด: ปิด VPN แล้วแต่ยังเห็น VPN อีกตัวโผล่มา

เป็นไปได้ว่า:

  • คุณลงหลายแอปที่ใช้เทคนิคคล้าย VPN (เช่น แอป Ad blocker, Security DNS ฯลฯ)
  • หรือมีโปรไฟล์งาน (Work Profile) จากออฟฟิศ ที่บังคับใช้ VPN เอง

วิธีจัดการ:

  1. เข้า Settings → Apps → ดูว่าแอปไหนใช้สิทธิ์ VPN อยู่บ้าง
  2. ถ้าเป็นแอปที่ไม่ใช้แล้ว ก็ถอนการติดตั้ง
  3. ถ้าเป็นของออฟฟิศ/หน่วยงาน → ควรถาม IT ให้แน่ใจก่อนลบ เพราะอาจกระทบการเข้าระบบงาน

เลือก VPN สำหรับ Android แบบไหน เปิด–ปิดง่ายและปลอดภัยในปี 2025

ยุคนี้ “แค่มี VPN” ไม่พอแล้ว ต้องดูรายละเอียดเพิ่มด้วย:

  • นโยบาย No‑Log ชัดเจน
    ไม่เก็บประวัติการท่องเว็บของเราไว้ขายต่อ หรือส่งต่อให้ใครง่าย ๆ

  • ฟีเจอร์ความปลอดภัยเสริม
    เช่น บล็อกโฆษณาหนัก ๆ, กันเว็บ Phishing คล้ายกับบริการ NetShield ของ Proton VPN ที่มีการอัปเกรดจริงจังช่วงปลายปี 2025 (lesnumeriques, 2025-11-25)

  • แอป Android ใช้ง่าย ปุ่มใหญ่ ชัด
    กด Connect/Disconnect ได้ใน 1 จิ้ม ไม่ต้องงมเมนู

  • ความเร็วดี ไม่ดรอปเยอะ
    สำหรับคนชอบสตรีม 4K ดูบอลสด หรือเล่นเกม

  • ราคาโอเค มีโปรโมชัน
    ปีนี้ผู้ให้บริการหลายเจ้าจัดดีลแรง ๆ เช่น NordVPN ที่มีโปร Black Friday ลดสูง แถมเดือนใช้งานเพิ่มฟรี ตามข่าวจากสื่อเทคในยุโรป (bfmtv, 2025-11-25)

เคล็ดลับสายดูหนัง–ดูบอล: ปิด–เปิด VPN ยังไงไม่ให้พลาดแมตช์/ตอนสำคัญ

ถ้าคุณเป็นสายสตรีม:

  • ดูบอลคู่ใหญ่จากต่างประเทศ (ตัวอย่างเช่น Chelsea vs Barcelona ที่เว็บต่างประเทศมักมีคู่มือวิธีสตรีมแบบถูกลิขสิทธิ์จากหลายประเทศ)
  • ดูซีรีส์ดังที่บางประเทศมาช้ากว่า

ทริคปฏิบัติ:

  1. ก่อนเริ่มดู

    • เปิด VPN → เลือกเซิร์ฟเวอร์ประเทศที่ต้องการ
    • เข้าแอป/เว็บสตรีม → ล็อกอินให้เรียบร้อย
  2. ระหว่างกำลังสตรีม

    • อย่าปิด/สลับ VPN ไปมา เพราะอาจโดนบังคับล็อกเอาต์ หรือขึ้น error ว่า “Detected VPN/Proxy”
  3. หลังดูจบ

    • กด Disconnect ในแอป VPN
    • เช็กว่า IP กลับมาเป็นไทยก่อนเปิดแอปธนาคาร/งานสำคัญ

พูดง่าย ๆ คือ ใช้ VPN แบบ “มีสติ” เปิดเพื่อสตรีม–ปิดเพื่อทำธุรกรรม จะปลอดภัยสุด

MaTitie เวลาโชว์: เลือก VPN ดี ๆ สักตัว ชีวิต Android ง่ายขึ้นเยอะ

มาถึงช่วง MaTitie แล้วต้องบอกกันตรง ๆ ว่า การใช้ Android แบบไม่เปิด VPN เลยในปี 2025 นี่โหดไปหน่อย ทั้ง Wi‑Fi ฟรีในคาเฟ่, เน็ตหอ, และการที่แต่ละแอปแอบตามรอยเราแบบจัดเต็ม

ถ้าให้เลือก VPN ตัวเดียวสำหรับคนใช้ Android ในไทยตอนนี้ MaTitie มองว่า NordVPN เป็นตัวเลือกที่บาลานซ์ดีมากระหว่าง:

  • ความเร็ว (สตรีม/โหลดไฟล์สบาย)
  • ความปลอดภัย (เข้ารหัสแน่น, มีฟีเจอร์กันเว็บไซต์อันตราย)
  • แอป Android ใช้ง่าย ปุ่ม Connect/Disconnect ชัด กดทีเดียวจบ
  • ราคาโอเค โดยเฉพาะเวลามีโปรรายปี/รายสองปี + รับประกันคืนเงิน 30 วัน

ถ้าอยากลองเอง ลองเริ่มจากแพ็กเกจยาวหน่อย จะได้ราคาเฉลี่ยต่อเดือนถูกลง แล้วถ้าไม่ถูกใจจริง ๆ ก็ใช้ policy คืนเงิน 30 วันได้อยู่แล้ว

🔐 Try NordVPN – 30-day risk-free

หมายเหตุเล็ก ๆ: ถ้าคุณสมัครผ่านลิงก์นี้ MaTitie จะได้คอมมิชชันเล็กน้อย แต่คุณไม่ต้องจ่ายเพิ่มนะ ใช้ตัดสินใจตามสะดวกเลย

คำถามที่เจอบ่อยเรื่องการปิด VPN บน Android

ถาม: ใช้ Ad blocker ที่ทำงานผ่าน VPN อยู่ ต้องปิดยังไงไม่ให้เน็ตเพี้ยน?

ส่วนใหญ่แอปแนวนี้จะมีสวิตช์ On/Off ในตัวเองเลย แนะนำให้:

  1. เข้าแอปนั้นโดยตรง → ปิดสวิตช์ VPN ด้านใน
  2. เข้า Settings → VPN ดูว่ามีโปรไฟล์ค้างไหม ถ้ามีก็กด Disconnect เพิ่ม
  3. ถ้าช่วงหลังไม่ค่อยได้ใช้แล้ว แนะนำให้ถอนแอปออกเลย จะได้ไม่ชนกับ VPN หลักอย่าง NordVPN ที่คุณใช้ปกป้องเน็ตจริง ๆ

อารมณ์คือ “ให้มี VPN ตัวหลักตัวเดียว” จะเสถียรกว่า

ถาม: ลูกหลานใช้ Android เล่นโซเชียล ถ้าปิด VPN หมดจะปลอดภัยขึ้นไหม?

การปิด VPN ไม่ได้ทำให้ปลอดภัยขึ้นครับ/ค่ะ แค่ช่วยให้คุณคุมโลเกชัน IP ได้ชัดขึ้นเฉย ๆ เรื่องความปลอดภัยของเด็ก ๆ ตอนเล่นโซเชียล มันไปอยู่ที่:

  • ระบบยืนยันอายุตามกฎหมายของแต่ละประเทศ (เช่น มาเลเซียกำลังจะบังคับยืนยันอายุด้วยบัตรประชาชนสำหรับผู้ใช้อายุต่ำกว่า 16 ปีบนโซเชียล, medianama 2025-11-25)
  • การตั้งค่าความเป็นส่วนตัวในแอป
  • การสอนให้ระวังการแชร์ข้อมูลส่วนตัว

VPN เป็นแค่เลเยอร์ป้องกันเน็ตและความเป็นส่วนตัว ไม่ใช่ตัวกรองคอนเทนต์สำหรับเด็กโดยตรง ถ้าจะให้ดี ใช้ VPN คู่กับฟีเจอร์ Family/Parental Control ของแพลตฟอร์มต่าง ๆ จะเวิร์กกว่า

ถาม: มีวิธีตั้งให้ VPN เปิด–ปิดอัตโนมัติตามเครือข่ายไหม?

บางบริการ VPN บน Android มีฟีเจอร์ประมาณ:

  • Auto-connect เมื่อเจอ Wi‑Fi สาธารณะ
  • ไม่ต้องเชื่อมต่อเมื่อใช้ 4G/5G ส่วนตัว

ให้เข้าไปดูใน Settings ของแอป VPN ที่คุณใช้ แล้วหาคำประมาณ Auto‑connect, Trusted Wi‑Fi, หรือ Wi‑Fi protection ตั้งค่าให้:

  • Wi‑Fi บ้าน/ออฟฟิศ เป็นเครือข่ายที่ไว้ใจได้
  • Wi‑Fi ที่เหลือ → ให้เปิด VPN อัตโนมัติ

แบบนี้คุณแทบไม่ต้องมานั่งกดปิด–เปิดเองตลอดเวลา ลดโอกาสลืมเปิดตอนต่อ Wi‑Fi ฟรีได้ดีมาก

แหล่งอ่านต่อสำหรับสายจริงจัง

สนใจเจาะลึกเรื่องความปลอดภัย, การสตรีม และโลกดิจิทัลเพิ่มเติม ลองดูบทความเหล่านี้ (ภาษาอังกฤษ):

สรุป + ชวนลอง: จัดการ VPN บน Android ให้ชีวิตง่ายและปลอดภัยขึ้น

ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้ น่าจะปิด VPN บน Android เป็นทุกแบบแล้ว:

  • จะปิดชั่วคราวผ่านแถบแจ้งเตือน
  • จะปิดจาก Settings หรือจะลบโปรไฟล์ทิ้ง
  • จะให้วิ่งผ่าน VPN แค่บางแอปก็ทำได้

ขั้นตอนพวกนี้ฟังดูเยอะ แต่ใช้งานจริงคือ “แค่ไม่กี่จิ้ม” ถ้าเลือกใช้แอป VPN ที่ออกแบบดี

ในมุมของ Top3VPN และ MaTitie ถ้าคุณจริงจังเรื่องความเป็นส่วนตัว แต่ก็ยังอยากสตรีม ดูบอล ดูซีรีส์จากหลายประเทศ NordVPN คือหนึ่งในตัวเลือกที่คุ้มสุดตัวหนึ่งตอนนี้:

  • เซิร์ฟเวอร์เยอะ เร็ว เสถียร
  • แอป Android กดเปิด–ปิดง่าย ไม่งง
  • มีการันตีคืนเงิน 30 วัน ให้คุณลองใช้แบบไม่เสี่ยง

คำแนะนำคือ:

ลองใช้สัก 2–3 สัปดาห์แบบจริงจัง ทั้งตอนอยู่บ้าน คาเฟ่ และเวลาเดินทาง ถ้ามันไม่ช่วยให้ชีวิตเน็ตของคุณดีขึ้นจริง ๆ ค่อยกดเคลมเงินคืนก็ยังทัน

30 วัน

ไฮไลท์คืออะไร? ลองใช้ NordVPN ได้แบบไม่มีความเสี่ยง!

เรามีการรับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน — ถ้าไม่พอใจ ยกเลิกได้และขอเงินคืนเต็มจำนวนภายใน 30 วันโดยไม่ต้องตอบคำถาม
รองรับวิธีชำระเงินทุกประเภท รวมถึงคริปโตเคอเรนซี่ด้วย

สมัคร NordVPN

ข้อสงวนสิทธิ์ (Disclaimer)

เนื้อหานี้เขียนจากข้อมูลสาธารณะ ประสบการณ์ด้าน VPN และความปลอดภัยออนไลน์ ผสมกับการประมวลผลโดย AI มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลทั่วไป ไม่ใช่คำแนะนำทางกฎหมายหรือความปลอดภัยแบบมืออาชีพ ก่อนตัดสินใจเรื่องสำคัญ แนะนำให้ตรวจสอบข้อมูลจากผู้ให้บริการ VPN และแหล่งข้อมูลทางการอีกครั้งเสมอ