บทนำสั้น ๆ — ทำไมเรื่อง “ปิด VPN บน iPhone” ถึงสำคัญ หลายคนติดตั้งแอป VPN เพื่อความเป็นส่วนตัว แต่รายงานล่าสุดจากผู้เชี่ยวชาญความปลอดภัยเตือนว่าแอป VPN บางตัวบน App Store อาจเก็บและขายข้อมูลผู้ใช้ ทำให้การเปิด VPN กลายเป็นความเสี่ยงแทนที่จะเป็นการปกป้อง บทความนี้อธิบายเมื่อต้องปิด VPN วิธีลบแอปเสี่ยง และแนวทางเลือกบริการที่ปลอดภัยสำหรับผู้ใช้ iPhone

  1. เข้าใจความเสี่ยง: ทำไม VPN บางตัวจึงไม่ปลอดภัย
  • VPN คืออะไร (สั้น ๆ): เป็นช่องทางเข้ารหัสที่ซ่อน IP และช่วยเชื่อมต่อผ่านเซิร์ฟเวอร์กลาง แต่ความปลอดภัยขึ้นกับผู้ให้บริการ
  • ปัญหาที่พบ: งานวิจัยและรายงานจากองค์กรด้านความปลอดภัย (เช่น Bitdefender และ Dự án Minh bạch Công nghệ) พบแอป VPN จำนวนหนึ่งเก็บข้อมูลเช่น ประวัติการท่องเว็บ ตำแหน่ง และข้อมูลอุปกรณ์ แล้วส่งต่อให้บุคคลภายนอกเพื่อหารายได้
  • แอปฟรีกับโมเดลธุรกิจ: แอปฟรีมักหาเงินจากการขายหรือแชร์ข้อมูลผู้ใช้ หากไม่ระบุในนโยบายอย่างชัดเจน นั่นคือสัญญาณอันตราย
  1. สัญญาณเตือน: ควรปิดหรือถอนการติดตั้งเมื่อไหร่
  • แอปขอสิทธิ์เกินความจำเป็น เช่น เข้าถึงรายชื่อหรือข้อมูลระบบโดยไม่ชัดเจน
  • แอปให้บริการฟรีแต่มีโฆษณาหรือพฤติกรรมรีไดเรกต์เว็บไซต์บ่อยครั้ง
  • ชื่อแอปเปลี่ยนบ่อยหรือกลับมาหลังถูกลบ (ตัวอย่างจากการเปลี่ยนชื่อของ WireVPN → iSharkVPN)
  • รีวิวหรือบทความเตือนจากแหล่งข่าวเชื่อถือได้ที่ชี้ว่าแอปนั้นเก็บข้อมูล
  1. วิธีปิด VPN บน iPhone อย่างถูกต้อง (ทีละขั้นตอน)
  • ปิดจาก Control Center:
    1. ปัดลง (หรือขึ้น) เพื่อเปิด Control Center
    2. แตะไอคอน VPN หากไฮไลต์อยู่ ให้แตะเพื่อปิด
  • ปิดจากการตั้งค่า:
    1. เปิดแอป “ตั้งค่า” (Settings)
    2. ไปที่ “ทั่วไป” (General) > “VPN & การจัดการอุปกรณ์” หรือ “VPN”
    3. ปิดสวิตช์ที่แสดงการเชื่อมต่อ VPN หรือเลือกการเชื่อมต่อแล้วแตะ “ยกเลิกการเชื่อมต่อ”
  • ลบการตั้งค่าโปรไฟล์ VPN:
    1. ใน Settings > General > VPN & Device Management ให้เลือกโปรไฟล์ที่เกี่ยวข้องแล้วลบ
  • ลบแอป VPN ที่น่าสงสัย:
    1. กดค้างที่ไอคอนแอปบนหน้าโฮม แล้วเลือก “ลบแอป”
    2. ยืนยันการลบเพื่อเอาแอปและสิทธิ์ต่าง ๆ ออก
  1. เช็คให้แน่ใจว่าแอปถูกลบจริงและไม่มีการเชื่อมต่อซ่อนเร้น
  • รีสตาร์ทเครื่องหลังลบแอป
  • ตรวจสอบ Settings > General > VPN ว่าไม่มีโปรไฟล์เหลือ
  • ตรวจสอบรายการแอปที่อนุญาตการเข้าถึงเครือข่ายใน Settings > Privacy
  • เปลี่ยนรหัสผ่านสำคัญ (Apple ID, บัญชีธนาคาร) หากมีพฤติกรรมผิดปกติ
  1. ถ้าคุณต้องการใช้ VPN ต่อ เลือกอย่างไรให้ปลอดภัย
  • เลือกผู้ให้บริการมีชื่อเสียงที่มีนโยบายไม่บันทึกข้อมูล (no-logs) และผ่านการตรวจสอบอิสระ
  • อ่านนโยบายความเป็นส่วนตัวและเงื่อนไขอย่างรอบคอบ: หลีกเลี่ยงบริการที่กำกวมเรื่องการรวบรวมข้อมูล
  • เลือกบริการแบบเสียเงินที่มีรีวิวและการทดสอบด้านความปลอดภัยจากแหล่งเชื่อถือได้
  • ใช้แอปจากผู้พัฒนาที่โปร่งใส: ช่องทางติดต่อชัดเจน มีเว็บไซต์บริษัทและข้อมูลทางกฎหมาย
  • อัปเดตแอปและ iOS เป็นประจำเพื่อป้องกันช่องโหว่
  1. ตัวอย่างแอปที่ถูกเตือน (อ้างอิงจากรายงาน) งานวิจัยและสแกนใน App Store พบแอปหลายตัวที่มีสัญญาณเสี่ยง เช่น X-VPN, Turbo VPN, VPNIFY, WireVPN/Now VPN และอื่น ๆ — หากคุณมีแอปเหล่านี้ ควรพิจารณาลบและเปลี่ยนไปใช้บริการที่มีความน่าเชื่อถือ

  2. คำแนะนำด้านการป้องกันเพิ่มเติม

  • หลีกเลี่ยงการใช้งาน Wi‑Fi สาธารณะที่ไม่เข้ารหัส หากจำเป็นใช้ VPN จากผู้ให้บริการที่เชื่อถือได้
  • เปิดใช้งานการยืนยันตัวตนแบบสองชั้น (2FA) สำหรับบัญชีสำคัญทุกบัญชี
  • ติดตามข่าวความปลอดภัยและรีวิวจากแหล่งเชื่อถือได้ก่อนติดตั้งแอปใหม่
  • ใช้ฟีเจอร์ของ iPhone เช่น Private Relay หรือการจำกัดติดตามใน Safari เป็นส่วนเสริม (หากต้องการ)
  1. กรณีศึกษาสั้น ๆ: แอปที่ถูกลบแล้วกลับมาในชื่อใหม่ มีกรณีที่แอปถูกลบจาก App Store แต่กลับมาในรูปแบบใหม่หรือชื่อใหม่โดยยังคงข้อมูลและคะแนนรีวิวเดิม ผู้ใช้จึงอาจถูกหลอกให้ติดตั้งซ้ำ ควรตรวจสอบผู้พัฒนาและอ่านข้อมูลเวอร์ชันก่อนติดตั้งเสมอ

  2. สรุป: เมื่อไหร่ที่ควรปิด VPN และทำอะไรต่อ

  • ปิดทันทีถ้าคุณสงสัยว่าแอปนั้นเก็บข้อมูลหรือมีพฤติกรรมแปลก ๆ
  • ลบแอปและโปรไฟล์ VPN ที่ไม่น่าเชื่อถือ รีเซ็ตรหัสผ่านสำคัญ และตรวจสอบกิจกรรมบัญชี
  • หากต้องการ VPN ต่อ ให้ลงทุนกับบริการที่เชื่อถือได้และมีนโยบายโปร่งใส

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) — สั้น ๆ Q: ปิด VPN แล้วเน็ตจะเร็วขึ้นไหม?
A: อาจเร็วขึ้นเพราะไม่มีการเดินทางข้อมูลผ่านเซิร์ฟเวอร์กลาง แต่ขึ้นกับการตั้งค่าและผู้ให้บริการ

Q: แอป VPN ฟรีทั้งหมดเสี่ยงไหม?
A: ไม่ใช่ทั้งหมด แต่แอปฟรีมีโมเดลธุรกิจที่อาจพึ่งพาการเก็บข้อมูล จึงต้องตรวจสอบให้ดีก่อนใช้

Q: iOS มีฟีเจอร์ที่ช่วยเรื่องความเป็นส่วนตัวแทน VPN หรือไม่?
A: iOS มีฟีเจอร์อย่าง Private Relay (สำหรับผู้ใช้ที่สมัครบริการบางอย่าง) และการป้องกันติดตามใน Safari แต่ไม่ทดแทน VPN ในทุกกรณี

📚 อ่านต่อเพื่อเสริมความรู้

ต่อไปนี้คือแหล่งข้อมูลและบทความเพิ่มเติมที่ช่วยให้คุณตัดสินใจได้ดีขึ้นเกี่ยวกับการใช้ VPN และการปกป้องอุปกรณ์

🔸 เตือน: แอป VPN บน iPhone อาจเก็บข้อมูลผู้ใช้
🗞️ แหล่งข่าว: doisongphapluat.nguoiduatin.vn – 📅 2025-12-16
🔗 อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง

🔸 ทําไมออสเตรเลียแบนโซเชียลเด็กต่ํากว่า 16? กรณีศึกษา
🗞️ แหล่งข่าว: thairath – 📅 2025-12-15 07:08:16
🔗 อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง

🔸 UK Wants All iPhones to Block Explicit Images Unless You Prove Age
🗞️ แหล่งข่าว: macrumors – 📅 2025-12-15 04:30:19
🔗 อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง

📌 คำชี้แจง

บทความนี้รวมข้อมูลสาธารณะและการประมวลผลด้วย AI เพื่อช่วยเรียบเรียงข้อมูล
เนื้อหาใช้เพื่อการแบ่งปันและอภิปรายเท่านั้น — ไม่ใช่การรับรองทางกฎหมายหรือความถูกต้องทั้งหมด
หากพบข้อผิดพลาดหรือข้อมูลไม่ครบถ้วน กรุณาแจ้งเพื่อปรับปรุงให้ถูกต้อง

30 วัน

ไฮไลท์คืออะไร? ลองใช้ NordVPN ได้แบบไม่มีความเสี่ยง!

เรามีการรับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน — ถ้าไม่พอใจ ยกเลิกได้และขอเงินคืนเต็มจำนวนภายใน 30 วันโดยไม่ต้องตอบคำถาม
รองรับวิธีชำระเงินทุกประเภท รวมถึงคริปโตเคอเรนซี่ด้วย

สมัคร NordVPN