ทำไมคนไทยถึงสนใจ “ตั้งค่า VPN เน็ตฟรี” กันเยอะจัง?
เดี๋ยวนี้ใครไม่เคยโหลด VPN บนมือถือ นับว่าตกเทรนด์อยู่เหมือนกัน 🤏
ส่วนใหญ่คนที่เสิร์ชคำว่า “ตั้งค่าvpnเน็ตฟรี” มักมีเหตุผลคล้าย ๆ กัน:
- อยาก ดูหนัง/ซีรีส์/ถ่ายทอดสด จากต่างประเทศที่ล็อกโซน
- อยาก เลี่ยงการถูกเชื่อมต่อผ่าน Wi‑Fi สาธารณะไม่ปลอดภัย เช่น คาเฟ่ หอพัก มหาลัย
- อยาก ซ่อน IP / ซ่อนโลเคชัน ไม่ให้เว็บหรือแพลตฟอร์มตามตัวได้ง่าย
- แค่อยากลองเล่น VPN ดูก่อน ยังไม่อยากเสียเงิน
แต่ปัญหาคือ:
- VPN ฟรีบางตัว แอบเก็บข้อมูล แอบขาย data
- บางตัว โฆษณารัว ๆ ช้า หลุดบ่อย ดู Netflix ไม่รอด
- มีเคสที่สื่อต่างประเทศเตือนว่าแอป VPN บางตัวบน Android เสี่ยงถึงขั้นต้องลบด่วนเลยด้วย จากรายงานที่ถูกรวบรวมบน Google News ก็เริ่มเตือนผู้ใช้ให้ระวังแอป VPN ปลอม ๆ ที่ใช้เป็นช่องทางโจมตีไซเบอร์ในปี 2025
บทความนี้จะพาไปแบบ step-by-step เลยว่า:
- VPN ฟรีมีแบบไหนบ้าง เลือกยังไงให้ปังไม่พัง
- วิธี ตั้งค่า VPN เน็ตฟรี บนมือถือ / คอมแบบเข้าใจง่าย
- เคล็ดลับใช้ VPN แบบ ปลอดภัย + เน็ตไม่อืด
- และเมื่อไหร่ที่ควรเลิกใช้ฟรี แล้วขยับไปโปรตัวท็อปอย่าง NordVPN แทน
ก่อนตั้งค่า VPN เน็ตฟรี ต้องเข้าใจก่อนว่า VPN คืออะไร (แบบภาษาคน)
ให้นึกง่าย ๆ ว่า:
ปกติเราต่อเน็ต = คุณ → ผู้ให้บริการเน็ต (ISP) → เว็บ/แอป
ถ้าใช้ VPN จะกลายเป็น:
คุณ → ผู้ให้บริการ VPN → เว็บ/แอป
สิ่งที่ VPN ทำให้เราคือ:
- เข้ารหัส (Encrypt) ข้อมูล
เวลาเราเข้าเว็บ/ใช้แอป ข้อมูลจะถูก “ห่อ” ด้วยการเข้ารหัส ใครดักระหว่างทางก็อ่านไม่ออก - ซ่อน IP / เปลี่ยนประเทศ
เซิร์ฟเวอร์ปลายทางจะเห็นแค่ IP ของ VPN ไม่ใช่ของเรา - กัน Wi‑Fi สาธารณะอันตราย
อย่างน้อยหากมีคนดักฟังในร้านกาแฟ ก็อ่านข้อมูลเราได้ยากขึ้นมาก
ฝั่งต่างประเทศตอนนี้ยังมีบริการแบบ Smart VPN รุ่นใหม่ ๆ เช่นที่ TechAnnouncer พูดถึง Smart VPN 5 ว่าเน้นการเพิ่มความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยมากขึ้น ทั้งในแง่การเข้ารหัสและฟีเจอร์ขั้นสูง ต่างจาก VPN ฟรีทั่วไปที่เน้นให้ใช้เฉย ๆ มากกว่าดูแล privacy จริงจัง
ประเภทของ “VPN เน็ตฟรี” ที่เจอบ่อยในไทย
เวลาเราเสิร์ชหาคำว่า “VPN ฟรี” มันไม่ได้มีแบบเดียว มีหลายสายมาก ๆ แยกคร่าว ๆ ได้ประมาณนี้
1. VPN ฟรีจากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP / มือถือ)
ฝั่งยุโรปมีเคสที่น่าสนใจอย่าง Free mVPN ของผู้ให้บริการเครือข่ายรายหนึ่งที่ประกาศเพิ่มบริการ VPN ฟรีในแพ็กเกจมือถือ 5G:
- เปิดใช้งาน ผ่านเว็บหรือแอปของค่าย ได้เลย
- เลือกปลายทางได้ (ตอนเปิดตัวมี Italy / Netherlands)
- เปิดทีนึงใช้ได้ 12 ชั่วโมง แล้วจะกลับมาเป็นเน็ตปกติอัตโนมัติ
- ใช้ได้ทั้งในมือถือและเครื่องที่แชร์ฮอตสปอตต่อไป
- ข้อจำกัดอย่างหนึ่งคือ MMS ใช้ไม่ได้ ระหว่างเปิด VPN
รูปแบบนี้ความดีคือ:
- ไม่ต้องกลัวแอปมั่ว ๆ จากสโตร์
- ผูกกับเบอร์ / แพ็กเกจของเราเอง
- เหมาะกับคนแค่ต้องการ “ช่องทางเข้ารหัสเพิ่มอีกชั้น” โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม
ในไทยตอนนี้ยังไม่ค่อยเห็นค่ายไหนทำแบบเดียวกัน แต่อย่าลืมว่าสาย ISP รวมแพ็กเกจ Cybersecurity เริ่มโตขึ้นทั่วโลก เช่น บางเจ้ามีขายแพ็กเกจแอนตี้ไวรัส + VPN ในราคาโปรแรงช่วง Black Friday ตามรายงานจากหลายสำนักข่าวต่างประเทศ
2. VPN ฟรีแบบแอปบนมือถือ (Android / iOS)
อันนี้คือที่คนไทยใช้เยอะสุด:
- โหลดจาก Play Store / App Store
- มีเซิร์ฟเวอร์ให้เลือกหลายประเทศ
- บางตัวฟรีล้วน บางตัวเป็น Free + Premium (Freemium)
ข้อดี:
- ติดตั้งง่าย กดครั้งเดียวใช้เลย
- ไม่ต้องยุ่งกับการตั้งค่าในระบบเอง
- เหมาะสำหรับมือใหม่มาก
ข้อเสีย:
- ฟรี = มักจะ มีข้อแลกเปลี่ยน
- แชร์แบนด์วิธเราไปให้คนอื่น
- เก็บ log / วิเคราะห์พฤติกรรมเรา
- ยิงโฆษณาหนักมาก
- ข่าวด้านความปลอดภัยหลายที่ก็เริ่มเตือนว่า แอป VPN บางตัวเป็นช่องทางแอบใส่โค้ดแปลก ๆ เข้ามาในเครื่อง
3. VPN ฟรีแบบ Open Source / โปรไฟล์ Import เอง
กลุ่มนี้จะเนิร์ดหน่อย เช่น:
- โปรไฟล์ OpenVPN, WireGuard ที่แจกฟรี
- โปรเจกต์โอเพนซอร์สให้ใช้เซิร์ฟเวอร์สาธารณะ
ข้อดี:
- โปร่งใสกว่าหลายแอปฟรี ๆ ที่ไม่รู้ใครทำ
- บางทีสปีดดีเพราะคนใช้น้อย
ข้อเสีย:
- ขั้นตอนตั้งค่า ซับซ้อนกว่าเยอะ
- ถ้าไม่อ่านดี ๆ อาจเผลอใช้เซิร์ฟเวอร์ที่ไม่ปลอดภัย หรือโดนปลอมได้ง่าย
เช็กลิสต์ก่อนเลือกใช้ VPN ฟรี: ตัวไหนควรเล่น ตัวไหนควรเลี่ยง
ก่อนกด “ติดตั้ง” หรือ “เชื่อมต่อ” VPN ฟรี ลองดู 5 ข้อนี้แบบไว ๆ:
- มีเว็บ / บริษัทชัดเจนไหม
ถ้าไม่มีเว็บ ไม่มีที่อยู่ ไม่มีหน้าทีมงานเลย น่าเป็นห่วง - นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy) อ่านรู้เรื่องไหม
ถึงจะเป็นภาษาอังกฤษ แต่อย่างน้อยต้องรู้ว่าเขาเก็บ log แบบไหนบ้าง - รีวิวในสโตร์
- ถ้ารีวิว 5 ดาวรัว ๆ แต่ไม่มี comment ละเอียดเลย = แปลก
- ลองเลื่อนดูคนที่ให้ 1–2 ดาวว่าบ่นเรื่องอะไร
- ขอ Permission เกินเหตุไหม
แอป VPN ปกติไม่จำเป็นต้องขอสิทธิ์เข้าถึงรายชื่อ / ไฟล์รูปภาพ / SMS - เกี่ยวกับโฆษณา / การขายข้อมูล
บางแอปเขียนตรง ๆ ว่าใช้ข้อมูลบางส่วนเพื่อโฆษณาแบบกำหนดกลุ่มเป้าหมาย หากรับไม่ได้ควรกดออกก่อน
ในปี 2025 มีเว็บไซต์ด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้บางแห่ง (เช่น Cyber Advice) เขียนเตือนเรื่องการเลือกดีลซอฟต์แวร์ความปลอดภัยช่วง Black Friday ว่า แม้จะมีของถูกและฟรีเยอะ แต่ต้องดูว่าเจ้าไหนเป็นแบรนด์จริง เจ้าไหนเป็นของปลอมมาหลอกข้อมูล ซึ่งหลักคิดเดียวกันนี้ใช้กับ VPN ฟรีได้ตรง ๆ เลย
วิธีตั้งค่า VPN เน็ตฟรีบนมือถือ Android (แบบง่ายสุด)
สำหรับคนใช้ Android ที่อยากลองตั้งค่าเอง ไม่อยากพึ่งแอปแปลก ๆ ลองทำแบบนี้:
1) ใช้ VPN โปรไฟล์ที่ได้มาจากแหล่งน่าเชื่อถือ
เช่น:
- โปรไฟล์ OpenVPN / WireGuard ที่ทางผู้ให้บริการ (แม้จะเป็นแพ็กฟรี) แจกอย่างเป็นทางการ
- หรือบางเว็บโอเพนซอร์สที่มีรีวิวจากชุมชนเยอะ ๆ
2) ขั้นตอนตั้งค่าใน Android
เมนูอาจต่างกันนิดหน่อยแล้วแต่ยี่ห้อมือถือ แต่หลัก ๆ คือคล้ายกัน
- เข้า การตั้งค่า (Settings)
- เลือก Network & Internet หรือ การเชื่อมต่อ
- กด VPN
- ถ้ามีปุ่ม
+หรือ Add VPN ให้กดเพิ่ม - เลือกประเภท:
- PPTP / L2TP / IPSec / IKEv2 หรืออื่น ๆ ตามที่ผู้ให้บริการกำหนด
- ใส่:
- ชื่อ (ตั้งเองอะไรก็ได้ เช่น “FreeVPN Test”)
- ที่อยู่เซิร์ฟเวอร์ (Server address / Host)
- Username / Password (ถ้ามี)
- คีย์ / Certificates (ถ้ามีให้)
เสร็จแล้วให้กด Save จากนั้น:
- กลับไปหน้า VPN
- กดที่ชื่อ VPN ที่เราเพิ่งสร้าง
- ใส่ Username / Password (ถ้าให้กรอกอีกครั้ง)
- กด Connect
ถ้าสำเร็จ จะมีไอคอน 🔐 / รูปกุญแจ ขึ้นที่แถบด้านบน
วิธีตั้งค่า VPN ฟรีบน iPhone / iPad (iOS / iPadOS)
บน iOS ส่วนใหญ่คนจะใช้ผ่านแอปอย่างเดียว แต่ถ้าคุณมีไฟล์ .ovpn หรือรายละเอียดเซิร์ฟเวอร์เอง ก็ทำได้แบบนี้:
- เข้า Settings (การตั้งค่า)
- ไปที่ General (ทั่วไป) → VPN & Device Management หรือ VPN
- กด Add VPN Configuration…
- เลือกประเภท:
- IKEv2 / IPSec / L2TP ตามที่ผู้ให้บริการกำหนด
- กรอกรายละเอียด:
- Description: ชื่อ VPN
- Server: ชื่อโฮสต์ / IP เซิร์ฟเวอร์
- Remote ID / Local ID: ตามคู่มือผู้ให้บริการ
- User Authentication: ใส่ Username / Password หรือใช้ Certificate
กด Done แล้วเลื่อนสวิตช์ Status → On เพื่อเชื่อมต่อ
ถ้าใช้แอป VPN ฟรี:
- โหลดจาก App Store
- เปิดแอป → อนุญาตให้สร้างโปรไฟล์ VPN
- กด Connect ในแอปได้เลย
ตั้งค่า VPN เน็ตฟรีบนคอมพิวเตอร์ (Windows / macOS) แบบคร่าว ๆ
Windows 10 / 11
- เปิด Settings → Network & Internet → VPN
- กด Add a VPN connection
- เลือก:
- VPN provider = Windows (built-in)
- ใส่ชื่อ, Address, ชนิดการเชื่อมต่อ (PPTP / L2TP / IKEv2 ฯลฯ)
- Save แล้วกด Connect จาก Quick Settings หรือจากหน้า VPN ได้เลย
macOS
- เปิด System Settings → Network
- กด
+เพิ่มบริการใหม่ - เลือก Interface: VPN
- เลือกประเภท (IKEv2 / L2TP / Cisco ฯลฯ)
- ใส่ Server Address, Account Name, Authentication
ตารางเปรียบเทียบตัวเลือก “VPN เน็ตฟรี” ยอดฮิตที่คนใช้กัน
| 🧑💻 ประเภท VPN ฟรี | 💰 ค่าใช้จ่าย | 📈 ความเร็วเฉลี่ย | 🛡️ ความปลอดภัย/ความน่าเชื่อถือ | 🎬 เหมาะกับการดูสตรีมมิงไหม |
|---|---|---|---|---|
| VPN ฟรีจากผู้ให้บริการมือถือ/เน็ต (เช่น Free mVPN) | ฟรีในแพ็กเกจ | ปานกลางถึงสูง (ขึ้นกับเครือข่าย) | ค่อนข้างสูง เพราะมาจากค่ายใหญ่ มีตัวตนชัด | ใช้ได้ดี ถ้าไม่บีบแบนด์วิธ แต่บางทีเลือกประเทศได้จำกัด |
| แอป VPN ฟรีใน Play Store / App Store | ฟรี แต่แฝงค่าโฆษณา/ข้อมูล | ต่ำถึงปานกลาง คนใช้เยอะ เซิร์ฟเวอร์แน่น | หลากหลายมาก ตั้งแต่ดีจนถึงอันตราย ต้องเช็กให้ดี | ส่วนใหญ่ไม่เสถียรสำหรับ Netflix / Disney+ / กีฬา |
| VPN ฟรีแบบโอเพนซอร์ส / โปรไฟล์สาธารณะ | ฟรีจริง ๆ | ปานกลาง แล้วแต่จำนวนผู้ใช้ในแต่ละเซิร์ฟเวอร์ | ถ้าโปรเจกต์ดัง น่าเชื่อถือขึ้น แต่ต้องตั้งค่าเอง | พอใช้ได้สำหรับ YouTube / เว็บทั่วไป แต่ไม่เหมาะหวังพึ่งตลอด |
| VPN พรีเมียม (เช่น NordVPN) แพ็กฟรีทดลอง | จ่ายรายเดือน แต่มีรับประกันคืนเงิน 30 วัน | สูง มีเซิร์ฟเวอร์จำนวนมาก ทันสมัย | สูงมาก มีทีมดูแลความปลอดภัยจริงจัง | เหมาะที่สุดสำหรับ Netflix, Disney+, กีฬา, เกมออนไลน์ |
สรุปสั้น ๆ: ฟรีแท้ ๆ มักต้องแลกกับอะไรบางอย่างเสมอ ทั้งสปีด, ความเสถียร, หรือความเป็นส่วนตัว ถ้าคุณใช้งานหนัก ดูหนัง/ทำงานจริงจัง การจ่ายเงินเล็กน้อยแลกกับ VPN ระดับท็อปมักคุ้มกว่าในระยะยาว
ทริกใช้ VPN ฟรีให้ปลอดภัยขึ้น (ในเมื่อยังอยากใช้ฟรีอยู่)
ถ้ายังไม่อยากจ่ายตังค์ แต่ก็ไม่อยากเอาตัวเองไปเสี่ยงเกินไป ลองทำตามนี้:
- อย่าใช้ VPN ฟรีกับธุรกรรมการเงิน
โอนเงิน, Mobile Banking, ซื้อของออนไลน์ที่ต้องกรอกบัตร – ให้ปิด VPN ฟรีก่อน แล้วค่อยทำผ่านเครือข่ายมือถือ/บ้านที่ไว้ใจได้ - อย่าใช้ส่งงานลับ / เอกสารสำคัญของบริษัท
จะฟรีหรือไม่ฟรี ถ้าไม่รู้ว่า VPN ตัวนั้นจัดการ log ยังไง อย่าเอาข้อมูลงานไปเสี่ยงดีกว่า - ใช้คู่กับเบราเซอร์ที่เน้น Privacy
เช่น Brave / Firefox + ตั้งค่าเพิ่มเรื่องการบล็อก tracker - เปิดใช้แค่ตอนจำเป็น
เช่น เปิดเฉพาะตอนดูคอนเทนต์ที่ล็อกโซน เสร็จแล้วปิด อย่าทิ้งไว้ทั้งวัน - เช็ก IP หลังต่อ VPN เสมอ
เข้าเว็บอย่างwhatismyipaddress.comดูว่ามันเปลี่ยนประเทศจริงไหม ถ้ายังใช่ไทยอยู่ แสดงว่า VPN ทำงานไม่ถูก
เมื่อไรควรเลิกใช้ VPN ฟรี แล้วไปพรีเมียมให้จบ ๆ
สถานการณ์ประมาณนี้ แนะนำให้เริ่มมองหาตัวพรีเมียมได้แล้ว:
- ใช้ VPN ทุกวัน – ทำงาน, เข้าเว็บบริษัท, คุยลูกค้า
- เน็ตฟรีที่ใช้ ช้ามาก ดูหนังไม่ได้ ทั้ง Netflix, Disney+, Amazon Prime
- เริ่มสนใจเรื่องความเป็นส่วนตัวมากขึ้น เช่น ไม่อยากถูก track พฤติกรรมออนไลน์ไปยิงโฆษณา
- อยากใช้ฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น:
- Double VPN
- Threat Protection / Block malware & tracker
- เซิร์ฟเวอร์พิเศษสำหรับ P2P หรือสตรีมมิง
แบรนด์ระดับท็อปอย่าง NordVPN, Surfshark, ฯลฯ มักออกโปรโมชันแรง ๆ ช่วงปลายปี คล้ายกับที่มีบทความรวบรวมดีล Black Friday สำหรับ VPN และซอฟต์แวร์ความปลอดภัยจากหลายสื่อในยุโรปและอเมริกา ถ้าเลือกจังหวะดี ๆ จะได้ราคาถูกกว่าในหน้าเว็บปกติค่อนข้างเยอะ
MaTitie โชว์ของ: เวลาแห่ง “MaTitie โชว์จริงไม่มีกั๊ก”
มาถึงช่วง MaTitie SHOW TIME หรือในเวอร์ชันไทย ๆ หน่อยคือ “เวลา MaTitie โชว์จริงไม่มีกั๊ก” 🎭
ในฐานะคนเล่นเน็ตตัวยง MaTitie เชื่อว่า:
- ทุกวันนี้เราทิ้งรอยเท้าดิจิทัลไว้เยอะมาก ทั้งในโซเชียล เว็บช็อปปิง และแอปต่าง ๆ
- การมี VPN ดี ๆ ติดเครื่อง ไม่ใช่เรื่องฟุ่มเฟือย แต่เป็น เหมือนประกันภัยออนไลน์ ชั้นหนึ่ง
NordVPN เป็นหนึ่งในตัวที่ MaTitie ใช้แล้วชอบ เพราะ:
- เซิร์ฟเวอร์เยอะ สปีดดี ใช้ดู Netflix ต่างประเทศลื่น
- มีฟีเจอร์เสริมด้านความปลอดภัย เช่น ป้องกัน malware และตัวบล็อก tracker โฆษณากวนใจ
- มี นโยบายไม่เก็บ log (no-logs) ที่ผ่านการตรวจสอบจากภายนอกแล้ว
ถ้าคุณกำลังใช้ VPN ฟรีอยู่ แล้วเริ่มรู้สึกว่าช้า ไม่มั่นใจ แนะนำให้ลอง เทส NordVPN แบบมีรับประกันคืนเงิน 30 วัน ก่อนได้ ไม่ชอบก็ขอเงินคืนได้ ไม่ต้องเสี่ยงเยอะ
🔐 Try NordVPN – 30-day risk-free
หมายเหตุเล็กน้อย: ถ้าคุณสมัครผ่านลิงก์นี้ MaTitie และทีม Top3VPN จะได้คอมมิชชันเล็กน้อย ช่วยเป็นกำลังใจให้เรานั่งเทส VPN และเขียนคู่มือดี ๆ ให้คนไทยอ่านต่อได้ 🙏
คำถามยอดฮิตหลังตั้งค่า VPN เน็ตฟรีแล้ว (เวอร์ชันตอบแชทเพื่อน)
1) ใช้ VPN ฟรีแล้วเล่นเกมออนไลน์จะ “แลค” ไหม?
ส่วนใหญ่ แลคขึ้นแน่นอน เพราะ:
- เส้นทางวิ่ง: คุณ → VPN → เซิร์ฟเวอร์เกม
ทำให้ ping สูงขึ้น - เซิร์ฟเวอร์ฟรีมักคนเยอะ โหลดแน่น
ถ้าอยากใช้ VPN เล่นเกมจริง ๆ แนะนำ:
- เลือกเซิร์ฟเวอร์ที่ใกล้ไทย เช่น สิงคโปร์, ญี่ปุ่น (ถ้าตัวเกมอยู่โซนนั้น)
- ใช้โปรโตคอลที่เน้นสปีด เช่น WireGuard
- พิจารณาใช้ VPN พรีเมียมที่มีเซิร์ฟเวอร์เกมโดยเฉพาะ จะเสถียรกว่า
แต่ถ้าเกมไม่ล็อกโซน และไม่ได้มีปัญหากับ ISP อยู่แล้ว ส่วนใหญ่ เล่นตรง ๆ โดยไม่ผ่าน VPN จะดีกว่า
2) เปิด VPN ฟรีทิ้งไว้ทั้งวัน เปลืองแบต/เน็ตไหม?
- แบต: เปลืองขึ้นแน่ เพราะต้องเข้ารหัส/ถอดรหัสข้อมูลตลอดเวลา
- เน็ต: ปริมาณ data ส่วนใหญ่ใกล้เคียงเดิม แต่อาจมี overhead เล็กน้อย
- ถ้าเป็นแอปฟรีที่แอบโหลดโฆษณา หรือส่งสถิติกลับไปตลอด ก็จะเปลืองเน็ตเพิ่ม
แนะนำ:
- เปิดเฉพาะตอนต้องใช้จริง ๆ เช่น ใช้ Wi‑Fi สาธารณะ, จะเข้าเว็บสำคัญ, จะดูคอนเทนต์ที่ล็อกโซน
- ถ้าอยากเปิดยาว ๆ ทุกวัน ไปสาย VPN พรีเมียมจะเหมาะกว่า เพราะ optimize เรื่อง consumption ดีกว่า
3) ใช้ VPN ฟรีอยู่ แล้วอยากย้ายไป NordVPN ต้องลบของเดิมไหม?
ไม่จำเป็นต้องลบ แต่อยู่ร่วมกันเยอะ ๆ ก็รกเครื่องเหมือนกัน และเสี่ยงกดผิดเชื่อมต่อผิดตัวได้
แนะนำ:
- เลือกตัวที่คิดว่าจะใช้จริง ๆ แค่ 1–2 แอป
- แอปฟรีตัวไหน ไม่ใช้แล้ว กดถอนการติดตั้ง ให้หมด
- ตั้งค่าให้ NordVPN (หรือ VPN หลักของคุณ) เป็นตัวเดียวที่มี Permission ใช้งาน VPN ทั้งระบบ เพื่อเลี่ยง conflict
แหล่งอ่านต่อ สำหรับสายจริงจังเรื่อง VPN และความปลอดภัย
ต่อไปนี้เป็นบทความต่างประเทศที่พูดถึงดีล VPN / ความปลอดภัย และการใช้เทคโนโลยีเพื่อความเป็นส่วนตัว ซึ่งน่าสนใจสำหรับคนที่อยากศึกษาต่อ (ภาษาอังกฤษ):
“It’ll be hard to find a bigger deal than this Internxt plan -and it’s back on sale” – TechRadar Pro (2025-11-26)
โฟกัสดีลพื้นที่เก็บข้อมูลเข้ารหัสบนคลาวด์ ที่แนวคิดคล้ายกับ VPN ตรงที่เน้นความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้
อ่านบทความ“X’s new location disclosure policy: What does it mean for safety?” – Al Jazeera (2025-11-26)
พูดถึงฟีเจอร์ใหม่ของแพลตฟอร์ม X ที่เปิดเผยโลเคชันผู้ใช้มากขึ้น และผลกระทบต่อความปลอดภัย ซึ่งเกี่ยวข้องกับประเด็นการซ่อน IP / การใช้ VPN ทางอ้อม
อ่านบทความ“How To Watch Macy’s Thanksgiving Day Parade 2025 Online From Anywhere” – CinemaBlend (2025-11-26)
คู่มือดูถ่ายทอดสดงานพาเหรดจากต่างประเทศจากทุกที่บนโลก ซึ่งแน่นอนว่ามักแนะนำให้ใช้ VPN เพื่อเปลี่ยนประเทศ
อ่านบทความ
สรุป + คำแนะนำสุดท้าย: ถ้าจะลอง VPN พรีเมียมสักตัว ให้ตัวเองได้ลองเลือกด้วยมือ
ถ้าคุณอ่านมาถึงตรงนี้ แปลว่าค่อนข้างซีเรียสเรื่อง เน็ตฟรี + ความปลอดภัย + ดูหนัง/ทำงานไม่สะดุด แล้วล่ะ
สิ่งที่อยากฝากไว้:
- VPN ฟรี ดีในระดับ “ลองเล่น / ใช้งานเบา ๆ” แต่ถ้าใช้ทุกวัน ใช้กับงาน ใช้กับการเงิน – เสี่ยงเกินไป
- ข่าวด้านไซเบอร์ในปี 2025 ก็เริ่มพูดเยอะขึ้นเรื่อย ๆ ว่า แอป VPN ที่ไม่น่าไว้วางใจสามารถกลายเป็นช่องโหว่ความปลอดภัยได้จริง ไม่ใช่แค่ทฤษฎี
- การลงทุนกับ VPN ดี ๆ เดือนละไม่กี่สิบ–ร้อยกว่าบาท เมื่อเทียบกับมูลค่าข้อมูลส่วนตัว / งาน / บัญชีการเงิน ถือว่าคุ้มมาก
NordVPN เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่เหมาะสำหรับคนไทยที่:
- อยากดูสตรีมมิงต่างประเทศแบบลื่น ๆ
- อยากได้ความปลอดภัยระดับสูงกว่า VPN ฟรี
- อยากลองก่อนแบบไม่เสี่ยง เพราะมี รับประกันคืนเงิน 30 วัน
ถ้าพร้อมจะอัปเกรดจาก “ของฟรี เสี่ยง ๆ” ไปเป็น “ของดี ที่ควบคุมได้” ลองให้ NordVPN เป็นตัวแรกที่คุณเทส แล้วค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย
ไฮไลท์คืออะไร? ลองใช้ NordVPN ได้แบบไม่มีความเสี่ยง!
เรามีการรับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน — ถ้าไม่พอใจ ยกเลิกได้และขอเงินคืนเต็มจำนวนภายใน 30 วันโดยไม่ต้องตอบคำถาม
รองรับวิธีชำระเงินทุกประเภท รวมถึงคริปโตเคอเรนซี่ด้วย
ข้อสงวนสิทธิ์ (Disclaimer)
บทความนี้จัดทำจากข้อมูลสาธารณะ ข่าวต่างประเทศ และประสบการณ์ด้าน VPN ผสมกับการช่วยประมวลผลของ AI มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลทั่วไป ไม่ใช่คำแนะนำด้านกฎหมายหรือความปลอดภัยเชิงลึกโดยตรง ก่อนตัดสินใจใช้ VPN ใด ๆ โดยเฉพาะในงานสำคัญ แนะนำให้ตรวจสอบข้อมูลจากผู้ให้บริการโดยตรงและอัปเดตล่าสุดทุกครั้ง
